top of page
  • Writer's picturemie dyasha wong🍦

Review: Taking IELTS for the 1st time 👀

Updated: Apr 9, 2023

สวัสดีจ้าาา คิดถึงกันมั้ย 💖

Cover image created by Mie Dyasha 🇬🇧

รอบนี้มี่กลับมากับการสอบ IELTS หรือการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัยรัฐ (หลักสูตรอินเตอร์ฯ) หรือว่าเพื่อการเรียนต่อต่างประเทศในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอย่างอังกฤษ,อเมริกา (*ความจริงแล้วถ้าอยากเข้าม.ในอเมริกาแนะนำการสอบ TOEFL iBT มากกว่าจ้า),แคนาดา,ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมไปถึงประเทศแถบยุโรปที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนจะ require ขอคะแนนเท่าไหร่ต้องไปดู requirement เอาเองนะจ๊ะ ส่วนมากถ้าเซฟ ๆ ก็ overall 6.5 แต่ละพาร์ทไม่ต่ำกว่า 6.0 ส่วนของมี่เขาขอแต่ overall 6.0 จ้า


บางคนคงสงสัยใช่มั้ยคะ ว่าจริงๆแล้ว IELTS คืออะไร ? อันนี้ก๊อปมาให้อ่านจากเว็บไซต์ IDP นะคะ

IELTS คืออะไร ?

🍀IELTS (International English Language Testing System) เป็นข้อสอบวัดความสามารถทางภาษา ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อประเมินความสามารถของผู้สมัครที่ต้องการเรียนหรือทำงาน โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร


IDP : IELTS Australia, British Council และ Cambridge English Language Assessment สามองค์กรนี้ได้ร่วมมือกันออกแบบการทดสอบความสามารถทางภาษาที่เรียกว่า IELTS ขึ้นมา ถือเป็นการทดสอบที่ตรงตามมาตรฐานสากล ครอบคลุมทักษะทั้งสี่ด้านคือการฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด โดยผลสอบ IELTS นั้นเป็นที่ยอมรับจากองค์กรกว่า 10,000 แห่ง ครอบคลุมทั้งองค์กรภาครัฐ สถานศึกษา และสถาบันชั้นนำใน 140 ประเทศ เช่น ประเทศไทย ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ IELTS ยังเป็นบททดสอบภาษาอังกฤษเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการยอมรับจากกองตรวจคนเข้าเมืองในหลายๆ ประเทศ


คือมี่บอกก่อนเลยละกันว่า "ผลสอบรอบนี้ออกมาเป็นยังไงก็รับได้ เพราะว่าป้าบอกว่ายังไงก็ไม่ได้ใช้ผลสอบรอบนี้อยู่แล้ว จุดประสงค์ของการสอบรอบนี้คือเราจะเอาผลสอบ IELTS ไปหาคอร์สเรียนติวต่อเพื่อเพิ่มคะแนนจ้า แต่ถ้าคะแนนออกมา 5.5 อะไรงี้จะดีใจมาก แต่ถ้าออกมาน้อยกว่านั้นเราก็โอเคอ่ะ"


ปอลู : อย่าเข้าใจผิด!!! เสียเงินสอบเอง ไม่ใช่การรีวิวแบบ SR แต่อย่างใดนะจ๊ะ

(มี่อยากแนะนำอ่ะ คือบริการน่ารักมาก ผู้คุมสอบโอเคพาเช็คหูฟังเป็นสิบรอบ 55555 พี่สต๊าฟก็โอเคมากๆอ่ะ ตั้งแต่เรื่องฝากกระเป๋า สแกนลายนิ้วมือกับถ่ายรูปเพื่อเข้าสอบงี้ บริการของ IDP จะเน้นความเป็นครอบครัว ออกแนวอบอุ่นหน่อยๆ นี่ขนาดตอนกำลังจะฝากกระเป๋า หยิบขวดน้ำ,พาสปอร์ตแล้วก็เสื้อกันหนาวออกมา วุ่นวายมากๆ ขวดน้ำยังไม่ได้แกะสลากอ่ะ มีพี่สต๊าฟผู้หญิงผมซอยสั้นๆมาคนนึงถามว่า "น้องคะ อย่าลืมแกะฉลากตรงขวดน้ำออกนะคะ น้องแกะได้มั้ย ถ้าแกะไม่ได้เดี๋ยวพี่ช่วยแกะให้" พอพี่พูดจบ หนูแกะออกพอดีเลยค่ะ แต่ขอบคุณในความช่วยเหลือของพี่เขามากๆนะคะ แต่ถ้า... จะออกแนวระเบียบ ไม่ TOLÉRANT

*ภาษาฝรั่งเศส คือ จะเป๊ะๆๆๆ เอาเป็นว่าแล้วแต่คนชอบเนอะ แต่ถ้าพูดตามตรงคือใจค่อนข้างติดลบกับอีกที่อ่ะ อคติจากการกระทำของบริษัทนั้นไปแล้ว ถ้าเห็นบล็อกนี้ก็บอกได้เลยว่าเราโนสนโนแคร์มากๆ คุณไม่ได้แคร์ลูกค้าแล้วเรื่องอะไรลูกค้าต้องแคร์คุณ

เดี๋ยวจะมาเขียนแนะนำอะไรสักหน่อยแล้วกันเนอะ แล้วค่อยเข้าไปอ่านเรื่องการสอบ IELTS


อีเมลที่ทาง IDP ส่งมาเตือน 3 วันก่อนสอบ

เขาจะส่งเมล์แจ้งรายละเอียดมาก่อนสอบจริง 3 วัน แต่ว่าเรื่องการสอบ Speaking เขาจะไม่ได้บอกเวลาสอบนะ เขาจะเขียนแต่ว่า Start From... แล้วเราต้องเข้าไปดูเองว่าสอบกี่โมงตอนเข้าห้องสอบไปแล้ว มันจะมีบัตรเหลืองๆวางไว้ให้บนโต๊ะ

มาต่อกันด้วยภาพด้านล่างนะจ๊ะ

ห้ามลืมพกบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตไปด้วยนะ ไม่ต้องเครื่องเขียนไปจ้า เขามีให้ในห้องสอบ สอบเสร็จเอากลับบ้านได้เลย

หยิบ 3 อย่างเข้าห้องสอบได้ : พาสปอร์ต/บัตรประชาชน, เสื้อกันหนาว, ขวดน้ำแกะฉลาก (label) ออก

ใช้อะไร(บัตรประชาชน,พาสปอร์ต)ลงทะเบียนก็หยิบอันนั้นไปในวันจริงจ้า

ต่อกันด้วยวิธีการเดินทางไปโรงแรมมณเฑียร สามารถเดินทางโดย MRT ลงสามย่านได้ แต่ว่าตอนเราไปสอบพ่อเราเป็นคนขับรถไปส่งหน้าโรงแรมเลย

เราว่าเดินทางโดย BTS สะดวกกว่า แต่เดินเยอะกว่า

ต่อกันด้วยเรื่องมาสายหรือขาดสอบ ระบุชัดเจนไม่เหมือนของอีกอันนึง อิอิ

ถ้ามาสายจะไม่สามารถเข้าสอบได้หรือขอเงินคืนได้ แต่ถ้าป่วยก็ต้องส่งใบรับรองแพทย์ใน 5 วันหลังวันสอบจ้า

เตือนแล้วเตือนอีกอย่ามาสายนะจ๊ะ ควรเผื่อเวลามาเร็วๆได้ยิ่งดี

(แต่จริงๆวันนั้นที่เราสอบอ่ะ ก็มีคนมาสายนะ พี่สต๊าฟก็บอกว่าแบบ รอแปปนึง มีคนนึงกำลังวิ่งเข้ามา)

อย่ามาสายยยยยยยย

เกี่ยวกับ Speaking Interview

สรุปไม่ต้องเอารถมาดีที่สุดนะ ฮาาา

สำหรับการทบทวนก่อนสอบ ของ IDP ก็มีนะ เรียกว่า IDP Essentials ติวออนไลน์ได้ 30 ชม.

สำหรับข้อมูลอื่นๆ


สำหรับแผนที่การเดินทางไปสอบ Speaking ที่สำนักงานของ IDP เองเลย จะมีไฟล์แนบมาให้ตรงท้ายเมล์ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะหลงทางเลย

ทาง IDP ส่งมาให้เป็น Guideline เฉยๆ

เป็น tips เล็กน้อยจาก IDP จ้า

คำแนะนำดีๆจาก IDP Thailand

รวบรวมคำถามแล้วก็คำตอบที่คิดว่าน่าจะมีคนถาม อิอิ

- มี่เตรียมตัวมาอย่างไรบ้าง มีเรียนติวที่ไหนบ้างมั้ย ? :

🍦 มี่เคยเรียนติวที่ British Council คอร์ส IELTS Preparation เลเวล Intermediate ค่ะ เรียน Part B (BC จะแบ่งเลเวลเพื่อติวสอบ IELTS ออกเป็น 3 ระดับ คือ Pre-intermediate (A2), Intermediate (B1) และ Upper-intermediate (B2) ค่ะ ต้องเข้าไปทำเทสต์ที่ British Council เพื่อประเมินระดับภาษาเราก่อน ซึ่งมี่ทำมาแล้วได้คอร์ส Secondary Success 5 หรือคะแนนระดับ Intermediate ค่ะ เลยได้เข้าเรียนที่เลเวลนี้เลย) เรียนทั้งหมด 10 สัปดาห์ 20 ครั้ง ก็คือเรียนวันเสาร์และอาทิตย์วันละ 2 ชม. รวมทั้งหมดก็คือ 40 ชั่วโมง ค่าเรียนคือ 18,500 บาท (วันเสาร์เราเรียนกับ Teacher James เรียน Listening & Speaking ส่วนวันอาทิตย์เรียน Reading & Writing กับ Teacher Keith เป็น examiner เก่า) โดยการเรียนติวที่นี่จะแบ่งเป็น Part A และ Part B ส่วนมากเขาจะเรียนทั้ง 2 พาร์ทกัน เพื่อให้ได้เนื้อหาที่ครอบคลุมการสอบ IELTS แต่เราลงแค่ Part B แล้วไปลองสอบก่อน เผื่อจะได้ 6.0 จะได้เข้าเรียน Upper-intermediate ได้เลย เราเคยคุยกับพี่สต๊าฟที่ BC เขาบอกว่าคนที่เรียนเวล Intermediate ไม่เคยมีใครได้ Overall ต่ำกว่า 5.5 เราเลยอยากไปลองสอบก่อน หลักๆคือเราไม่ค่อยเชื่อการวัดระดับภาษาอังกฤษของบางสถาบันอะ บอกตรงๆว่ามันมีจริงๆนะบางที่ที่แบบ ... ไม่ได้วัดระดับตามความจริงอะ เหมือนจะตรวจให้คะแนนสอบเราต่ำๆเพื่อที่จะได้ take courses กับเขาเยอะๆงี้ ทางที่ดีเราว่าไปสอบ IELTS เหอะ ลงทุนเลย แล้วสอบให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แล้วค่อยหาคอร์สเรียนติวมันก็ยังไม่สาย 👍ส่วนของการวัดระดับจาก BC อันนั้นคือเขาวัดแบบวัดจริงๆอะ เพราะต้องเสียค่าวัดระดับอีก 600 บาท ถ้าสนใจจะวัดระดับก็สามารถไปที่ BC หรือโทรไปจองกับทาง BC ได้เลยจ้า

ปล. ถึงเราจะแค้น BC เรื่องสอบ IELTS แต่เราไม่ได้แค้นฝั่งสอนภาษาของเขานะ โรงเรียนสอนภาษาของเขาคือดีเลยแหละ

- การลงทะเบียนสอบยุ่งยากมั้ย ? :

🍦เราว่าไม่ยากนะ แค่ register account กรอกข้อมูลตามจริง ตอนลงทะเบียนแนะนำให้ตรวจสอบชื่อและนามสกุล รวมถึงสิ่งที่ใช้ในการลงทะเบียนด้วย (มีแค่ 2 อย่างคือ 1. บัตรประจำตัวประชาชน 2. พาสปอร์ต) ซึ่งเราอ่ะใช้พาสปอร์ต เพราะบัตรประชาชนเรามันภาพไม่ชัดแล้ว กลัวว่าจะมีปัญหาตามมาเลยใช้พาสปอร์ตแทน ซึ่งพอวันไปสอบจริงๆอะ คนส่วนมากที่เป็นคนไทยจะใช้บัตรประชาชนกันหมดเลย แล้วตอนลงทะเบียนเราก็โดนถามว่า "น้องเป็นคนไทยหรือเปล่าคะ" (คนไทยค่ะ แต่ภาพไม่ชัดกลัวมีปัญหา) ที่จะบอกคือเดี๋ยวนี้คนจีนสอบ IELTS ที่ไทยก็เยอะเหมือนกัน แล้วจากนั้นก็กรอกข้อมูลบัตรเครดิตเพราะค่าสมัครสอบจะหักผ่านบัตรเครดิตเลย หรือถ้าใครไม่สะดวกก็สามารถจ่ายผ่าน offline payment ได้ แต่มีระยะเวลากำหนดว่าต้องจ่ายเงินภายใน 12 ชั่วโมง ค่าสอบตอนนี้อยู่ที่ 6,900 บาท (paper-delivered) ถ้าอยากได้ผลสอบใน 5-7 วันก็สอบแบบ computer-delivered ไปเลย แต่ค่าสอบก็จะแพงกว่าอยู่ที่ 7,500 บาท


- IELTS มีการสอบทั้งหมดกี่ทักษะ ? :

🍦รูปแบบของการสอบ IELTS

การสอบ IELTS เป็นการทดสอบการใช้ภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน และผู้สอบจะได้รับใบรายงานผลการสอบโดยแยกเป็นแต่ละส่วนทั้ง 4 ทักษะ ลักษณะของคะแนนในการสอบจะถูกแบ่งออกเป็น 9 ระดับ โดยเริ่มต้นที่ตั้งแต่ระดับที่ 1 ไปจนถึงระดับที่ 9 ซึ่งสามารถวัดระดับความรู้ความสามารถ ในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้สอบได้อย่างถูกต้อง คุณจะต้องสอบการฟัง การอ่านและการเขียนในวันเดียวกันทั้งหมดโดยไม่มีการหยุดพักระหว่างการสอบ ส่วนการพูดคุณสามารถเลือกที่จะสอบวันเดียวกันในช่วงบ่ายหรือเลือกสอบในวันอาทิตย์หรือวันจันทร์ในสัปดาห์เดียวกันก็ได้


- การสอบ IELTS มีกี่ประเภท ? :

🍦มีทั้งหมด 2 ประเภท

1. เพื่อการศึกษาต่อ (Academic Modules) เป็นการทดสอบความพร้อมเพื่อศึกษาต่อในต่างประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งในระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญาเอก

2. เพื่อการฝึกอบรม (General Training Modules) สำหรับผู้ที่วางแผนใช้ภาษาเพื่อการฝึกอบรมหรือ ทำงานในต่างประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วข้อสอบจะใช้วัดความรู้ภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐาน และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศนิวซีแลนด์ หรือประเทศออสเตรเลีย


- การสอบแต่ละพาร์ทมีอะไรบ้าง และสอบกี่นาที ? :

🍦การสอบการฟัง (Listening) 30 นาที 🎧 ผู้สอบต้องฟังเนื้อเรื่องจากเครื่องเล่น CD ซึ่งเนื้อหาจะประกอบไปด้วยการสนทนา และบทพูด รวมทั้งการออกเสียงผู้สอบจะได้ฟังเทปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่จะมีเวลาให้ในการอ่านคำถาม และเขียนคำตอบ และในช่วงท้ายจะมีเวลาให้คัดลอกและตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบใน Answer Sheet อีก 10 นาที

การสอบการอ่าน (Reading) 60 นาที มีเนื้อเรื่องให้อ่าน 3 บทความ พร้อมด้วยคำถามที่ต้องปฎิบัติตาม ซึ่งเนื่อหาเหล่านี้ได้มาจากหนังสือ นิตยสาร และ หนังสือพิมพ์ ในทุกๆ เรื่องเป็นเรื่องทั่วไป ไม่ได้เจาะจงเฉพาะทางใดทางหนึ่ง รวมทั้ง 3 บทความ จะมีคำถามทั้งหมดจำนวน 40 ข้อ และให้เวลาทั้งหมด 60 นาที ดังนั้นเวลาในการทำจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณข้อละ 1.5 นาที

การสอบการเขียน (Writing) 60 นาที 📝 จะแบ่งออกเป็น 2 เรื่อง ให้เวลา 60 นาที เรื่องแรก คือการเขียนในลักษณะอธิบายข้อมูลที่ให้มาในรูปแบบกราฟ ตาราง แผนผัง เราจะต้องมีการเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ ที่เด่นๆ โดยที่ต้องเขียนอย่างน้อย 150 คำเป็นอย่างต่ำ เรื่องที่สอง คือ การเขียนเรียงความหรือรายงานอย่างเป็นทางการ และเป็นการแสดงความคิดเห็น การหาทางออก ของปัญหาหรือวิจารณ์หัวข้อที่ให้มา โดยต้องเขียนอย่างน้อย 250 คำ

การสอบการพูด (Speaking) 11-14 นาที📣 แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นการพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป การใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนที่สอง กรรมการจะมีเวลาให้เตรียมตัวก่อนพูด 1 นาที โดยจะมีบัตรคำถามมาให้ และจะให้เราพูดคนเดียวประมาณ 3-4 นาที และส่วนสุดท้ายจะมีลักษณะคล้ายกับการพูดโต้ตอบกันในหัวข้อที่ได้จากส่วนที่สอง


- ราคาค่าสมัครสอบ IELTS :

🍦 IELTS on Computer: 7,500 บาท IELTS Regular : 6,900 บาท IELTS for UKVI: 8,800 บาท IELTS Life Skills: 6,600 บาท


(ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ IDP Thailand :

- IELTS คืออะไร: ที่นี่

- ทำไมควรสอบ IELTS กับ IDP: ที่นี่


- มี่ไปสอบวันที่เท่าไหร่ ? :

🍦สอบวันที่ 17 พฤศจิกายน 2018 จ้า เราลงทะเบียนแบบสอบเขียนกับพูดวันเดียวกัน คือจะสอบ writing (ข้อเขียน) ก่อน ตั้งแต่ 9.00-12.30 แล้วหลังจากนั้นก็ดูตามบัตรเหลืองที่อยู่ตรงโต๊ะตอนเข้าไปสอบข้อเขียนว่าเราได้สอบพูดตอนกี่โมงและที่ไหน ของเราได้สอบพูดตอน 13.00 ออกมาจากห้องสอบข้อเขียนตอน 12.20 น. คือถ้าสอบวันเดียวมันก็จะจบวันนั้นเลย แต่ถ้าสอบเขียนวันนึง สอบพูดอีกวันนึง มันก็แล้วแต่คนอ่ะว่าสะดวกแบบไหนมากกว่า ถ้าสอบคนละวันก็สอบข้อเขียนแล้วกลับบ้านได้เลย ค่อยไปสอบพูดวันที่ตัวเองลงทะเบียนเอาไว้


- สถานที่สอบคือที่ไหน ? :

🍦 สอบข้อเขียนที่โรงแรมมณเฑียร ชั้น M (ต้องเช็คในเมล์อีกทีนะจ๊ะว่าตัวเองสอบชั้นไหน แต่ของเราได้ชั้น M ที่รู้มาก็คือถ้าสอบเขียนกับพูดคนละวันก็จะสอบคนละชั้นกับคนที่สอบวันเดียวกันด้วย) ตรงแถว MRT สามย่าน (BTS ศาลาแดง) ส่วนสอบพูด *ถ้าสอบเขียนกับพูดวันเดียวกัน บางคนจะได้สอบที่โรงแรมมณเฑียรเลย แต่ว่า ตัวมี่เองได้สอบที่สำนักงาน IDP (ในบัตรเขียนว่า CP All Meeting) ตรงตึก C.P. จ้า จากโรงแรมมณเฑียรเดินไปตึก C.P. ก็สะดวกนะ แค่เดินผ่านซอยพัฒพงษ์ไปซอยนึงแล้วก็จะมาโผล่แถวๆร้าน Sunrise TACO จากนั้นก็ข้ามถนนไปก็จะเจอตึก C.P. แล้ว (ที่มีแมคโดนัลด์กับ True Coffee แล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 4 จะเจอสติ๊กเกอร์ติดว่า IDP อลังการงานสร้างมากๆ ใครไม่เห็นคืองูจะฉกแล้ว)


- ก่อนสอบต้องทำอย่างไรบ้าง ? :

🍦จะต้องทำตามกฎของทาง IDP คือ

ตอนเอาเข้าห้องสอบต้องแกะ cover ออกจ้า

1. ห้ามลืมพกบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตมาด้วย หากลืมสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตนจะไม่สามารถเข้าห้องสอบได้ ไม่สามารถใช้ฉบับ copy ได้ด้วย

2. ไปอ่าน/เช็คบอร์ดว่ามีชื่อ,นามสกุลของตัวเอง,สิ่งที่ใช้ในการยืนยันตัวตน (คนที่ใช้ I = บัตรประชาชน ส่วน P = Passport)

ขอโทษจ้า ภาพเบลอ

3. มาลงทะเบียนสอบได้ตั้งแต่ตอน 8.15 - 9.00 ถ้ามาหลัง 9.00 จะไม่สามารถเข้าสอบหรือขอเงินคืนได้

4. ฝากกระเป๋าและโทรศัพท์ไว้กับเจ้าหน้าที่โดยเราจะได้ tag ที่ติดกระเป๋าเราไว้เอาเข้าห้องสอบ

5. ไปลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ โดยจะมีการถ่ายรูปเราเพื่อเอาไปติดในผลสอบและสแกนลายนิ้วมือทั้งการสอบข้อเขียนและการสอบพูด

6. ต่อแถวรอเข้าห้องสอบ เจ้าหน้าที่จะพาเราไปตามโต๊ะที่สติ๊กเกอร์ติดไว้

สติ๊กเกอร์เหลืองๆจะสำคัญตรงที่พี่สต๊าฟจะขอดูเบอร์แล้วพาไปที่โต๊ะ

- เอาอะไรเข้าห้องสอบได้บ้าง ? :

🍦1. พาสปอร์ตหรือบัตรประชาชน (บังคับให้เอาเข้าไป เพราะจะมีการตรวจดูเอกสารตอนสอบด้วย)

2. เสื้อกันหนาว (เจ้าหน้าที่จะขอตรวจก่อน สะบัดเสื้อ ล้วงกระเป๋า ยังไม่ต้องใส่เสื้อแค่ถือเข้าไปก็พอ)

3. ขวดน้ำ (ต้องแกะฉลากออก)

ปล. ตอนที่เราไปสอบเราไม่สบาย เอาทิชชู่เข้าห้องไม่ได้นะ แต่ว่าขอทิชชู่จากพี่สต๊าฟได้


- ที่โต๊ะสอบเป็นอย่างไร และมีอะไรไว้ให้บนโต๊ะบ้าง ? :

บัตรเหลืองบนโต๊ะสอบ

🍦โต๊ะสอบเป็นเหมือนโต๊ะสัมนา คือโต๊ะสีขาวๆ ตัวนึงนั่งได้ 2 คน แต่ไม่ต้องห่วงว่าคนข้างๆจะลอกเราหรือเราจะลอกคนข้างๆได้ เพราะว่าเขาจัดที่นั่งไว้ห่างกันพอสมควร จะมี 1. ดินสอเปลี่ยนไส้ตรา IDP 2. ยางลบสีดำก้อนสี่เหลี่ยมจตุรัส และ 3. บัตรเหลืองที่จะมีข้อมูลอย่างชื่อ,นามสกุล,เลขบัตรประชาชน/พาสปอร์ต,เวลาสอบพูด,สถานที่สอบพูด จะไม่ได้ระบุชัดเจนแบบของ ... ผ่านทางเมล์ มีหูฟังอินฟาเรดไว้ให้ในการสอบฟัง แต่ว่าจะเก็บคืนทันทีก่อนสอบ Reading โดยจะมีเจ้าหน้าที่เดินเก็บ


- ผลสอบจะออกตอนไหน จะรับผลสอบได้อย่างไร ? :

🍦ออกภายใน 13 วันหลังจากการสอบจ้า เช่น สอบวันที่ 17 ผลสอบก็จะออกวันที่ 30 สามารถเช็คผลสอบออนไลน์ได้ตั้งแต่ 13.00 น. ภายในวันที่ 30 เลย ส่วนการรับผลสอบสามารถเลือกได้ว่าจะให้เจ้าหน้าที่ส่งไปรษณีย์ให้ที่บ้าน หรือจะไปรับเองที่สำนักงาน IDP เลย คือตัวมี่เองเลือกรับด้วยตัวเอง เพราะว่าโรงเรียนไม่ได้ไกลจากสำนักงาน IDP มาก ไปรับเองเลยสะดวกกว่า ถ้าพี่ๆคนไหนทำงานแถวตึก C.P. เราก็แนะนำให้ไปรับผลสอบเองค่ะ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงดวงกับพี่ไปรษณีย์ว่าจะทำยับหรือหายระหว่างทางมั้ย


- สามารถเอาอะไรออกนอกห้องสอบได้บ้าง ? :

🍦 เครื่องเขียนของทาง IDP สามารถเอากลับบ้านได้ค่ะ (ไม่ต้องเอาเครื่องเขียนมาสอบเองนะคะ เพราะยังไงก็ไม่สามารถเอาเข้าห้องสอบได้อยู่ดีค่ะ) โดยดินสอและยางลบจะเปลี่ยนใหม่ตลอดทุกการสอบค่ะ ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าดินสอเปลี่ยนไส้จะทู่หมดแล้ว


- ในการสอบ IELTS มีพักเบรคมั้ยคะ หรือว่าขอไปเข้าห้องน้ำได้มั้ยคะ ? :

🍦ในการสอบ IELTS จะไม่มีการพักเบรคค่ะ ในส่วนของการเขาห้องน้ำ ถ้าเราจำไม่ผิดสามารถขอเจ้าหน้าที่เข้าห้องน้ำได้หลังจากการเริ่มสอบ Writing ค่ะ โดยเจ้าหน้าที่จะเป็นคนพาเราไปเข้าห้องน้ำค่ะ


รีวิวการสอบ IELTS ฉบับมี่ ~

การสอบ IELTS จะมีทั้งหมด 4 พาร์ท (เราเขียนเรียงไว้ให้แล้ว) ได้แก่

1. การฟัง 40 นาที 2. การอ่าน 60 นาที

3. การเขียน 60 นาที 4. การพูด ประมาณ 11-15 นาที

ต้องเข้าสอบให้ครบทั้ง 4 พาร์ท ถ้าขาดพาร์ทใดพาร์ทหนึ่งจะไม่ได้ผลสอบ IELTS ค่ะ

Listening มี 5 sections 🎧

ใช้เวลาสอบ 30 นาที ย้ายคำตอบลงกระดาษคำตอบอีก 10 นาที

1. เกี่ยวกับบริษัททัวร์ Briscots แล้วก็แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว เป็นการฟังทั่วไปในชีวิตประจำวันตั้งแต่ข้อ 1-10 เช่น ถามว่า painter คนนี้ทำงานอยู่ที่ไหน

2. Misseria Village เป็น choices ข้อ 11-16 อันนี้ก็ฟังง่าย แค่ฟังไปเรื่อยๆว่าคนนี้ให้ advice อะไรบ้างแล้วก็ตอบ

3. เป็นแผนที่เกี่ยวกับสถานที่ก็คือ Misseria Village ข้อ 17-20 อันนี้มีปัญหา เพราะเป็นคนโง่เรื่องทิศมาก หลงทิศจ้า 5555

4. เกี่ยวกับการเรียน second language ที่นักเรียนต้องวิจัย แล้วก็จะมีคำถาม ประมาณว่าทำไมเขาถึงไม่เลือกวิจัยคนนี้ เด็กๆจะใช้ภาษาที่ 2 ได้ดีตอนไหน ช้อยส์ 21-25 แล้วก็เป็นให้ฟังข้อควรปรับปรุงที่ครูบอกกับคนที่รายงานเรื่องนี้ คือให้จับคู่กันว่า first section ให้ปรับปรุงเรื่องอะไร ข้อ 26-30

5. เกี่ยวกับต้น Knotweed เป็นเขียน only one word ข้อ 31-40 ไม่ได้ยากมาก ถ้าฟังดีๆก็จะทำได้ เพราะการสอบ IELTS จะเป็นการฟังแบบไล่ไปทีละข้อ จะไม่มีการสลับกัน เช่น poison, underground อะไรงี้


Reading มี 3 passages. 📖

1. ต้นกำเนิดของภาพยนตร์ ก็จะมีพวกพี่น้อง Lumière ตัวเครื่องฉายภาพยนตร์

เช่น Kinetograph, Zoopraxiscope พวกเครื่องมือทำหนัง ต้นกำเนิดของมัน แล้วก็จะมีภาพมาให้ตอบคำถามว่าส่วนนี้คืออะไร เป็นข้อ 1-4 ที่จำได้ก็ตอบว่า Hollow Drum, a crank, paper strip, slits แล้วก็มีตอบ ที่เขาเว้นไว้ว่า only one word (ข้อ 5-8) เช่น เครื่องนี้..ใช้..pictures เราก็เขียนไปว่า dancers แล้วก็ True, False, Not Given ข้อ 9-13

2. การวิจัยเกี่ยวกับ Canopy

จะมีชื่อนักวิทยาศาสตร์เยอะพอสมควร แล้วก็จะถามแนวๆว่า passage นี้เกี่ยวคู่กับสิ่งที่โจทย์ให้มาข้อไหน (มีประโยคมาให้ว่าให้หาอะไร เช่น ecological) ตรงกับหมายเลขอะไร พอถัดมาจะเป็นการใส่ชื่อนักวิทยาศาสตร์ จะมีโจทย์มาให้ว่าโจทย์นี้เกี่ยวข้องกับนักวิทย์คนไหน ก็เขียนไป แล้วก็จะมีมาให้เขียน 3 ข้อว่า only 2 words อันนี้เขียนตอบได้ 2 ข้อ อีกข้อนึงเว้นไว้ เพราะทำไม่ทัน

3. เกี่ยวกับ fairy tales ของพี่น้องกริมม์

อันนี้อ่านยากมาก เยอะมาก แล้วก็ยาวมากๆๆๆ คำศัพท์ค่อนข้างง่ายกว่า 2 passages แรก แต่อ่านแล้วงงมากสับสนมาก อันนี้ทำไม่ทันไป 4 ข้อที่เป็น choice กำลังจะเขียนมั่วแต่เขาสั่งวางดินสอพอดีก็เลยอด..

สรุป ทำ reading ไม่ทันตั้ง 5 ข้อ แนะนำว่าถ้ามั่วได้ก็มั่วเลย เพราะว่ามันก็ดีกว่าไม่เขียนอะไรเลย (แอบเสียดายคะแนน จากตอนแรกคิดว่าคงจะ 6.0+ ตอนนี้เหลือแค่ 5.5 แล้ว...)


Writing มี 2 tasks 📝

1. เขียนอธิบาย line graph เกี่ยวกับ subscribers ที่มี moblie phone networks กับ fixed subscribers ในแอฟริกา ตั้งแต่ปี 1994-2004

เขียนขั้นต่ำ 150 คำ แต่ว่านี้เขียนไป 165 คำ แถมลืมศัพท์ task 1 ที่ท่องไปอีกต่างหาก.. (ใช้เวลาเกินด้วย จริงๆต้องใช้ 20 นาทีแต่นี่ทุ่มไป 30 นาที)

2. เขียนเกี่ยวกับ The tendency focusing on news and emergencies rather than positive developments 250 คำ เป็นอะไรที่ยากมากๆ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องที่ถนัด เห็นข้อเขียนแล้วเอ๋อรับประทาน ที่จำได้ก็เขียน introduction ไป 25 คำ, first section 61 คำ, second section 68 คำ, third section เขียนได้แค่ 38 คำ ส่วน conclusion เขียนไปได้แค่ 3 คำ เวลาก็หมด สรุปโดนหักคะแนนเรื่องเขียนไม่ครบแน่นอน เพราะเขียนไปแค่ 192 คำ แต่ไม่รู้ว่าจะหักกี่แบนด์ อาจจะแบนด์นึงอะไรงี้ล่ะม้างงงง ปลอบใจตัวเอง..


Speaking 📣

ตอนเข้าไปสอบพูด โป๊ะเช๊ะโดนคนแรก examiner ที่สอบด้วยชื่อ Paul เขาก็ถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวบ้างอย่างเช่นเรื่อง hometown ซึ่งเราจำได้ว่าเคยพูดตอนเรียนติวที่ BC ไปแล้ว แถง่ายหน่อย อิอิ

🍀 มีถามเรื่อง hometown ว่าเป็นยังไง แถวไหน ชอบทำอะไร มีอะไรบ้าง :

เราตอบไปว่าบ้านเราอยู่แถวๆเยาวราช ชอบไปเดินเล่นกับเพื่อนชื่อพั้นช์เพราะบ้านไม่ไกลกันมาก แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ไปเพาะพั้นช์แลกเปลี่ยนอยู่ที่ South Carolina 🇺🇸 จากนั้นเขาก็ถามต่อว่ารู้จักเพื่อนบ้านข้างๆมั้ย เราก็ตอบไปว่าไม่รู้จัก เพราะไม่เคยคุยกันเลย

🍀ถามว่า morning routine ทุกวันเหมือนกันมั้ย :

เราก็ตอบประมาณว่าถ้าในไทยก็จะเหมือนกัน แต่ถ้าไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษหรือนิวซีแลนด์ก็จะแตกต่างกันไป มันขึ้นอยู่กับว่าอยู่ประเทศไหนก็จะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเค้า

🍀 คิดว่า breakfast สำคัญมั้ย แล้วกินข้าวที่ไหน :

breakdast สำคัญสำหรับเราอยู่แล้วแหละ แต่เรากินข้าวแถว... (โรงเรียน) ไม่ได้กินข้าวที่บ้านแบบคนอื่นๆ เพราะว่าของกินแถวนี้หลากหลายมากกว่า พ่อก็จะให้เงินไปซื้อ ไม่ต้องรบกวนแม่ทำกับข้าวด้วย

🍀 นั่งรถไปทุกวันหรือเปล่า นั่ง taxi ล่าสุดตอนไหน, คิดว่าการเรียนขับรถสำคัญมั้ยสำหรับทุกคน :

นั่ง taxi ล่าสุดตอนอังคารที่แล้ว หลังกลับจากงาน Open House มธ. นั่งรถไปโรงเรียนทุกๆวันและไปเที่ยวด้วย ส่วนเรื่องการเรียนขับรถก็ตอบไปว่ามันจะไม่สำคัญเลยถ้ามีระบบการขนส่งที่ดี

🍀 ตอนพูดได้หัวข้อเรื่อง describe a city you think it is beautiful ถามว่าที่ไหน, เพราะอะไร, มีอะไรบ้างในเมืองนี้ :

จะมีเวลาให้เขียนเตรียมตัวว่าจะพูดอะไร 1 นาที แล้วก็พูดต่อด้นสดอีก 2 นาที อันนี้เราตอบ Auckland, NZ ไปเพราะว่ามี City centre, มีกิจกรรมให้ทำเยอะ มีที่ให้เรียนภาษา บลาๆ

🍀 ตอน two-way discussion โดนถามเรื่องการรักษา historical places.. :

อันนี้คือ #ช็อค ตอบแบบมั่วมาก เพราะว่าไม่มีความรู้เรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษเลย ภาษาไทยยังคิดไม่ทันเลยว่าจะแถแบบไหน ฮือออ ถามว่าจะรักษามันยังไง เมืองใหม่เมืองเก่าอะไรสำคัญมากกว่า ทำไมนักท่องเที่ยวถึงชอบไปท่องเที่ยวเช่น โรม (แล้วจะไปรู้มั้ยล่าาา แค่อยากไปเที่ยวก็ไปเที่ยวสิ ไม่เห็นต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นเลย ทำไมอะ จะให้ตอบว่าไปศึกษาดูประวัติศาสตร์มนุษย์เงี้ยหรอ) จะดูแลพวกสถานที่เก่าแก่ยังไง แบบวัดตามอยุธยา เราก็ยกตัวอย่างคนอังกฤษมือบอนที่พ่นใส่กำแพงโบราณนั้นไปอ่ะ

พอสอบพูดเสร็จนี่รีบขอโทษ examiner แล้วรีบออกจากห้องเลย คือรู้ตัวว่าทำมาไม่ดีเลยอ่ะ ปกติเป็นคนพูดค่อนข้างคล่องนะ แต่พอมาเจอการสอบพูด IELTS นี่ไม่ไหวจริงๆอ่ะ มันเกร็งด้วยแล้วฟีลไม่เหมือนคุยกับเพื่อนต่างชาติ อย่างน้อยถ้านึกคำไม่ออกเพื่อนนึกออกก่อนเพื่อนก็จะช่วยเรา แต่นี่เขาจะฟังและถามเท่านั้น แล้วมองหน้าจนกลัวแล้วววว มองอยู่นั่นอ่ะกดดันอะไรเบอร์นั้น...


เห้ออออออออออ ไม่เป็นไร ผลสอบออกละไปหาที่เรียนติว IELTS ต่อ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยไป Re-registered อีกรอบก็ได้


😙 ลองประเมินคะแนนตัวเอง (เป็นเพียงแค่การคาดเดาจากสิ่งที่ตัวเองทำได้เท่านั้น)

- Listening คิดว่า 6.0+ :

มั่นใจว่าทำถูกเยอะพอสมควร ฟังทันเกือบหมด ตามไม่ทันแค่บางข้อ แล้วก็หูฟังเป็นแบบ infrared ฟังแล้วไม่สะดุด ปรับเสียงได้ชัดเจนดีจ้า (เดี๋ยวนี้ IDP ไม่ได้ใช้ระบบลำโพงแล้วนะ แต่ถ้าเชียงใหม่เราก็ไม่รู้ว่าเขายังใช้ลำโพงอยู่มั้ย)

- Reading คิดว่า 5.5+ :

ทำไม่ทัน 5 ข้อ แล้วก็มั่วไม่ทันด้วย แต่ที่ตอบไปก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าได้คะแนนพอสมควร เพราะตอน mock up คะแนนดิบได้ 22 คะแนน ซึ่งอีกแค่ 1 คะแนนก็จะได้ 6.0 แล้ว

- Writing คิดว่า 5.0+ :

Task 1 เขียนทัน แถมเขียนเกินด้วย แต่ ... task 2 เขียนไม่ครบ ได้แค่เกือบๆ 200 คำ ถ้าจำไม่ผิดเขียนแค่ 192 คำ แล้วหมดเวลาเลยรีบวางดินสอ เพราะว่ากลัวคนคุมสอบจะวิ่งมาแล้วกาหัวกระดาษทิ้ง จากที่คะแนนลดอาจจะกลายเป็นการสอบครั้งนั้นเป็นโมฆะแทน...

- Speaking คิดว่า ถ้า examiner ใจร้ายอาจจะได้ 4.5-5.0 ถ้าไม่ใจร้ายก็คง 5.0-5.5 :

คือผิดตรงที่เราตื่นเต้นมากเกินไป แบบตื่นเต้นมากจนลืมศัพท์บางตัวที่รู้จักไปเลย แถมดูหน้า examiner แล้วเหมือนเขาไม่โอเคกับคำตอบเราด้วย 5555 แล้วคือพูดแล้วตะกุกตะกักมาก ตื่นเต้นด้วยอ่ะ แล้วมันไม่ชินเหมือนเวลาคุยกับเพื่อนด้วยไง เลยทำให้เกร็งแล้วก็พูดมาไม่ค่อยไหลลื่นเท่าไหร่ เป็นปัญหาที่อยากแก้เหมือนกันคิดว่าถ้าคะแนนออกก็คงไปเรียนกับที่... (สถาบันติว IELTS ที่การันตีว่า 6.5+ โลโก้เป็นคล้ายรูปแพ็คแมน) มั้ง แล้วจะฝึกพูดแบบมั่นใจให้มากกว่านี้

- Overall คิดว่ายังไง๊ยังไงก็ไม่ต่ำกว่า 5.0 แน่ๆ แต่มันจะดีมากๆ ถ้าเราได้ 5.5 ขึ้นไปหรือ 6.0 เพราะจะได้มีผลสอบไว้อุ่นใจ ส่วนปีถัดไปก็ไปติวให้พร้อมแล้วสอบให้ได้ 6.5++ จริงๆอยากได้สัก 7.0 งี้อ่ะ รู้ว่ามันยากพอสมควร แต่ถ้าเราพยายามทำแบบฝึกหัด mock up ตลอดก่อนสอบ เราว่าเราทำได้


Update เพิ่มเติมในวันที่ 30/11/2018

พอเลิกเรียนปุ๊ปเรารีบเปิดโทรศัพท์แล้วเช็คผลสอบเลย

ฮะโหล กลับมาอัพเดทผลสอบจ้า โดยผลสอบ online จะออกภายใน 13 วันหลังจากสอบ ตอน 13.00 น. เป็นต้นไป สามาถเข้าเช็คได้ที่ ieltsessentials แล้วคลิก "preview results" จากนั้นก็กรอกชื่อ,นามสกุล,เลขพาสปอร์ตหรือบัตรประชาชน (แล้วแต่ว่าตอนสมัครสอบใช้อะไรสมัครก็กรอกตามนั้นจ้า),วันเกิด,(ถ้าสอบกับคอมจะมีช่องให้ติ๊กระหว่าง yes กับ no ถ้าสอบคอมก็ติ๊ก yes ถ้าไม่ใช่ก็ no) สุดท้ายก็เลือกวันที่เราสอบ จากนั้นผลสอบก็จะออกมาหน้าตาแบบข้างล่างค่ะ (อันนี้เช็คผ่านคอม)

สรุปแล้วก็คือ ... ผลสอบเราออกมาตามที่เราคาดหวังคือ 5.5 จ้า อยากบอกว่าเราก็ดีใจมากนะที่อย่างน้อยมันก็ upper-intermediate แล้วอ่ะ ถึงมันจะเป็น B2 แบบช่วงต้นก็ตาม แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอ่ะ เรายังพอเหลือเวลาในการอัพคะแนนต่อไง

มาต่อกันที่คำอธิบายและวิธีการพัฒนาคะแนนสอบกันเถอะ...

เริ่มต้นกันที่ Listening และ Reading นะจ๊ะ คือเอาตามตรงเราพอใจคะแนน Listening มากๆ คือมันไม่ยากถ้าเราตั้งสติดีๆ ตอน mock up test พาร์ทนี้คือส่วนที่เราทำได้น้อยมากที่สุด ตอนทำเทสต์ได้แค่ 5.0 เอง แต่พาร์ท Reading นี่คือช้ำใจมากอ่ะ 555555 แบบว่าตอน mock up ได้คะแนนเยอะมาก แบบอีก 1 คะแนนดิบก็จะได้ 6.0 แล้วอ่ะ แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่แบบที่เราคิดอ่ะเนอะ เพราะอย่างที่บอกไปว่าเราอ่าน passage 3 ไม่ทันจริงๆ มั่วกาช้อยส์ก็ไม่ทันแล้วด้วย ออกมาได้เหนือความคาดหมายมาก.. จากที่หวังไว้ 5.5+ ได้แค่ 5.0 แต่เราก็โอเคแหละ มันเป็นครั้งแรกของเราอ่ะ ได้เท่านี้เราก็ดีใจแล้ว

คะแนนพาร์ท Listening 🎧 กับ Reading 📃 จ้า

ต่อจากนี้ก็จะเป็น Speaking จ้า ถ้าถามเราว่าเราเจ็บใจกับพาร์ท Speaking มั้ย ... คงตอบว่าเจ็บน้อยที่สุดแล้วอันนี้ เพราะเรารู้ตัวเองอ่ะว่าเราพูดแล้วตะกุกตะกักด้วย (มันพูดแล้วไม่คล่องแบบเวลาคุยกับเพื่อนอ่ะ ฮือออ) แล้วสายตา Examiner คือกดดันมาก เหมือนเขาจะมองหน้าตลอดเวลาว่าจะพูดอะไร เราสอบคนแรกแล้วก็เกร็งมากด้วย เราอยากจะปรับปรุงพาร์ทนี้มากๆ เราอยากพูดกับ Examiner เหมือนที่คุยกับเพื่อน จากนี้เราคิดว่าเราจะฝึกพูดกับตัวเองหน้ากระจกเนี่ยแหละ จะได้เห็นหน้าตัวเองเวลาพูดด้วย แล้วก็เอามาปรับบุคลิกและสีหน้าตัวเองตอนพูด

การพัฒนาพาร์ท speaking 👄

พาร์ท Writing นี่ก็เจ็บใจ แต่เจ็บใจไม่มากเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกไปหมดแล้วตรงที่คาดการณ์คะแนนก่อนที่ผลจะออกนั่นแหละ คือว่าเราทำ task 1 ทันแต่เราทำ task 2 ไม่ทันและขาดคำที่เขาเขียน minimum 250 คำไว้เยอะมาก (เขียน task 2 ไปแค่ 192 คำ ตรง conclusion เขียนไม่เสร็จจ้า) แล้วตอนที่เราติวที่ BC เขาบอกไว้ว่าถ้าเขียนต่ำกว่า 250 คำจะถูกหัก band score ลงไปเรื่อยๆ ซึ่งมันเป็นไปตามที่เขาพูดจริงๆแล้วก็ตามที่เราคาดไว้นั่นแหละ

สุดท้ายเป็นพาร์ท Writing 📝

สรุปปัญหาหลักๆของเราที่เราวิเคราะห์มาแล้วว่ามันต้องใช่แน่ๆก็คือ ...

- พาร์ทฟัง 🎧 : เราฟังแล้วมีหลุดบ้างแต่ไม่มากและไม่เยอะแบบพาร์ทอื่นๆ คือหลุดไปประมาณ 4-5 ข้อเองอ่ะ ถ้าจำไม่ผิดนะ แล้วที่เราได้คะแนนพาร์ทนี้เยอะสุดเพราะเขาจำกัดเวลามาให้แล้วว่าให้ฟัง 30 นาทีแล้วย้ายคำตอบลงกระดาษอีก 10 นาที การฟังของเขาก็ไม่ยากไม่สับสนไง ฟังแล้วเขียนคำตอบไปเรื่อยๆ เอาเป็นว่าเราทำพาร์ทนี้ทันเยอะที่สุดแล้ว

- พาร์ทอ่าน 📃 : พาร์ทนี้เราก็รู้ตัวเองอีกอ่ะ ว่าไม่ใช่คนที่ well-organised เราจัดเวลาในการอ่านแต่ละ passage ยืดหยุ่นเกินไป เราแบ่งเวลาอ่านไม่เท่ากันเลยสัก passage ทำให้เกิดปัญหาที่ว่าอ่านไม่ทัน อ่านไม่จบและเราวิเคราะห์หรือคิดมากเกินไป เช่นจาก not given งี้คือโจทย์มันไม่ได้ให้มาจริงๆ แต่เราดันไปตอบ false เพราะเราคิดมากเกินไปแบบนี้ไง มันก็เปลี่ยนคำตอบจากที่จะถูกให้เป็นผิดอ่ะ เวลาอ่านข้อสอบ IELTS นะ ถ้าคนไหนเคยติว GAT ไทยมาอ่ะ ให้เชื่อติวเตอร์เถอะว่า "เราเป็นผู้รับสาร" เราก็ทำหน้าที่คือรับสารไปอย่างที่ผู้ส่งสารเขาส่งมาให้เรา เราไม่ต้องไปคิดมากหรือใส่ความคิดของตัวเองลงไปเลย เขาส่งมายังไงให้รับสารแบบนั้น

- พาร์ทพูด 👄 : ตรงนี้เหมือนกัน เราประหม่ามากๆแล้วก็เกร็งไปหมด ด้วยความที่สอบเป็นคนแรกด้วย (อาการนี้เหมือนตอนสอบ DELF เป๊ะเลยจ้า มือสั่น ปากสั่น คิดไม่ออก สมองทึบแล้วมึน) คือพูดแล้วไม่มีความมั่นใจใดๆทั้งสิ้น พูดตะกุกตะกักบ้างแหละ นึกเรื่องที่จะพูดไม่ค่อยออกบ้างล่ะ เห็นหน้า Examiner แล้วพูดไม่ออกหรือกลัวเขา ถ้าเราสอบครั้งต่อไปเราคงจะฝึกหา topic การพูดมาพูดหน้ากระจกแล้วลอง brainstorming เยอะๆ แล้วฝึกการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆแล้วเหตุผลที่พอแถๆได้หน่อย

- พาร์ทเขียน 📝 : ปัญหาใหญ่หลวงมากๆคือไม่เชื่อตอนที่เขาบอกเวลาการสอบ Task 1 (เขียนขั้นต่ำ 150 คำ ให้ทำแค่ 20 นาที) กับ Task 2 (เขียนขั้นต่ำ 250 คำ ให้ใช้เวลา 40 นาที) คือเวลาแจกข้อสอบ Writing อ่ะ เขาแจกมา 2 แผ่นเลย แผ่นนึงสำหรับ Task 1 อีกแผ่นสำหรับ Task 2 เราดันไม่เชื่อที่เขาบอกไง เราแบ่งเวลาทำ Task ละ 30 นาที ซึ่งยังไงก็ไม่ทันแน่นอน เพราะ Task 2 คะแนนมันเยอะกว่าและจำนวนคำที่บังคับให้เขียนมันมากกว่าตั้ง 100 คำ แอบเสียดายถ้าตอนนั้นทิ้ง Task 1 แล้วเขียน Task 2 ให้ครบเราอาจจะได้เพิ่มมาอีกสัก 0.5 ของแบนด์ก็ได้ เอาเป็นว่า ... ถ้าต้องเลือกเขียนไม่ครบ 1 พาร์ทจงทิ้ง Task 1 แล้วไปเขียน Task 2 ให้ครบ 250 คำดีกว่า


สรุปปัญหาการอ่านและเขียนของเรา :

จัดการเวลาในการทำข้อสอบไม่ดี, เขียนช้า เพราะไม่ Brainstorm หัวข้อหรือเรื่องที่จะเขียนก่อน, ทำไม่ทัน เพราะแข่งกับเวลาไม่ทัน


วิธีการเดินทางไปรับผลสอบ IELTS ที่ตึก C.P. ที่สำนักงาน IDP Thailand ชั้น 4

คือว่า.. แล้วแต่นะคะว่าเลือกให้ส่งไปรษณีย์หรือจะไปรับผลสอบเอง แต่ตอนนั้นเราลงว่าเราจะไปรับผลสอบเองค่ะ เราเลยต้องไปรับเองที่ตึก C.P. ซึ่งเราไปสะดวก เราก็เลยไปรับเองค่ะ เอาที่สะดวกนะคะ

มีภาพประกอบตอนเดินขึ้นไปที่ชั้น 4 จ้า พอเราเดินผ่าน McDonald's ที่ชั้น 1 ให้ขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆจนถึงชั้น 4 จากนั้นเราจะเจอแบบ (ภาพเรียงจากด้านซ้ายไปขวาภาพข้างบนคือ 1-3 และข้างล่างคือ 4-6 ) ภาพที่ 1 แต่สถานที่รับผลสอบ IELTD ไม่ใช่ห้องแรงที่เดินจากบันไดเลื่อนมาแล้วถึงเลยนะคะ ให้เดินต่อไปจากภาพที่ 2 จนไปเจอกระจกใสๆแบบภาพที่ 3 พอเข้าไปเราจะเห็นรูปที่ 4 ตรงฝั่งขวามือ จากนั้นหลังเข้ามาให้เลี้ยวขวาตรงกำแพงสีเขียวแล้วจะเจอแบบภาพที่ 5 จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้ามาที่เคาท์เตอร์ในสุดแบบภาพที่ 6 จากนั้นก็บอกเขาว่า "มารับผลสอบ IELTS ค่ะ" จากนั้นพี่สต๊าฟจะขอบัตรประชาชนในการขอรับผลสอบและแจ้ง Candidate Number ด้วยค่ะ แล้วรอพี่เขาหาผลสอบสักแปปนึง จากนั้นก็เซ็นรับตรงที่พี่เขาบอกให้เซ็นรับผลสอบ แค่นั้นก็จบแล้วจ้า

จากนั้นเราก็จะได้ซองสีขาว (ที่มีชื่อเราและ Candidate Number ) ที่มีผลสอบกับบิล Invoice ค่าสอบ IELTS มาค่ะ ไม่แนะนำให้แกะจากด้านหน้าซองนะคะ เพราะติดกาวหนาแน่นมาก เราเลยใช้วิธีการดันผลสอบไปให้สุดอีกด้านนึงของซองแล้วเอากรรไกรตัดด้านข้างที่ไม่โดนผลสอบค่ะ

พอเปิดซองออกมาปุ๊ป... เจอ Receipt ก่อนเลยค่ะ

หน้าตาของใบเสร็จรับเงิน (ไม่ต้องกังวลนะคะ พอสมัครสอบเสร็จจะมี e-receipt ส่งให้ในเมล์อยู่แล้วค่ะ)

ถัดมาเราก็จะเจอกับผลสอบ (ซึ่งเป็นกระดาษแบบพิเศษอะค่ะ มันจะแข็งๆหน่อย)

ผลสอบ IELTS ฉบับตัวจริง (ทำใจหน่อยนะคะ รูปที่ติดบนผลสอบทุกคนหน้าจะออกกเมาๆหน่อยค่ะ ถ่ายมายังไงก็ไม่สวยค่ะ 55555)

จากนั้นก็เป็นผลสอบของเราที่หน้าด้าน และด้านหลังจะเป็นคำอธิบายโดยรวมของแต่ละ Band Score


พอเรากลับบ้านไปปุ๊ป.. เราก็ไปคุยกับป้าเรื่องขอเรียนติว IELTS ที่ห้างตรงข้ามบ้าน ค่าติวคอร์ส Unlimited 6 เดือนอยู่ที่ 42,000 บาท เป็นคลาสสดที่สอนโดยครูไทยและครูต่างชาติ เลือกได้ว่าจะเข้าคลาสตอนไหน จะติวหรือเรียนอะไร แต่ คำแนะนำที่ป้าบอกเราก็คือ "จริงๆสอบวัดพวกนี้ไม่ได้จำเป็นต้องติวขนาดนั้น ถ้าเรารู้ปัญหาของตัวเองว่าคืออะไร เราแค่ต้องมีวินัยและพยายามฝึกฝนทำข้อสอบด้วยตัวเอง ซึ่งมหาลัยที่เราอยากเข้าเขาขอเฉพาะ Overall 6.0 ป้าเราบอกว่าถ้าตั้งใจฝึกทำ ให้เวลาตัวเองหน่อย อาจจะทำวันละ 1 ชม. แล้วไปสอบใหม่คะแนน 6.0 นี่ได้ไม่ยากเลย (เพราะป้าเราก็ไปสอบตอนจบม.ปลายแล้วได้ 6.0) และป้าก็เข้าใจเราว่าเราทำไม่ทันจริงๆ เพราะเราจัดการเวลาไม่ดี พอเราฝึกทำข้อสอบแล้วจำเวลา ทำไปเรื่อยๆเราก็จะทำได้เร็วขึ้น"

เราก็เข้าใจสิ่งที่ป้าเราพูดนะว่าที่ป้าพูดมันก็ถูกอ่ะ เราว่าถ้าเป็นคนมีวินัยในตัวเองเงี้ย มาทำข้อสอบเองมันไม่ยากเลย ไม่ต้องเสียเงินติวด้วย (แบบว่าอยากเก็บเงินไปทำอย่างอื่น) แต่ถ้าคนไหนไม่มั่นใจในพื้นฐานตัวเองจริงๆเราว่าจะติวก็ได้นะ เอาที่ตัวเองชอบและสะดวกแล้วกันน้า เราให้คำแนะนำได้แค่นี้แหละ


จบไปแล้วกับการรีวิวการสอบ IELTS ครั้งแรกของเรา ถ้าได้ผลสอบมาแล้วเราจะเอามาลงพลีชีพตัวเองไว้นะ รอติดตามกันด้วยนะ รักทุ๊กคนนนนนน จุ๊บๆๆๆ ❤️ ใครที่จะไปสอบก็สู้ๆนะคะ ขอให้ทำให้เต็มที่กับมันน้าาา สำหรับเราได้ 5.5 ครั้งแรกก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีแล้วล่ะ


อ้อ เกริ่นก่อน... ตอนต่อไปจะเกี่ยวกับการสอบ Preliminary English Test หรือ PET For Schools เป็นการสอบใบประกาศนียบัตรภาษาอังกฤษของ Cambridge English Assessment จะเป็นเลเวล Intermediate (CEFR B1) จ้า 🇬🇧

11,278 views
bottom of page