top of page
Writer's picturemie dyasha wong🍦

Review: Westminster Pinklao & 2nd time with IDP IELTS Computer-delivered 🇬🇧

Updated: Apr 9, 2023

Пвет (ปรีเวียต) ค่ะ เพื่อนๆและทุกๆคน ! ครั้งนี้ที่กลับมาคือว่ามี่จะมารีวิวการเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบ IELTS ที่สถาบันสอนภาษา Westminster International ที่สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้า (ขอเรียกสั้นๆว่า WIN แล้วกันนะคะ ตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะว่า N คืออะไร 5555) และการวัดระดับภาษาอังกฤษ IELTS รอบนี้พิเศษกว่าตรงที่... มี่ได้สอบแบบคอมพิวเตอร์หรือ Computer-delivered นั่นเอง จะเล่าให้ฟังนะคะว่าพิเศษยังไงบ้าง การวัดระดับภาษาอังกฤษอย่าง IELTS เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาตรี,โทหรือเอกทั้งหลักสูตรนานาชาติ (อินเตอร์) ของไทยและการศึกษาต่อในต่างประเทศที่มีต้นกำเนิดมาจาก University of Cambridge ซึ่งเป็นองค์กรที่ออกข้อสอบและร่วมมือกับ 2 บริษัทอย่าง IDP Australia จากประเทศออสเตรเลียและ British Council จากสหราชอาณาจักรค่ะ

สำหรับการสอบ IELTS Computer-delivered กับ IDP มีราคาที่ 7,500 บาทค่ะ สอบที่ IDP Office ตรงตึก CP Tower เดินทางสะดวกโดยการนั่ง MRT ลงสถานีสีลมและ BTS ลงสถานีศาลาแดงค่ะ

The cover image by Mie Dyasha 😇

บอกก่อนนะคะที่มารีวิวของทั้ง WIN Pinklao และ IDP IELTS Computer-delivered เราไม่ได้ส่วนดีส่วนเสียหรือเงินค่ารีวิวสักบาทค่ะ (ป๊า)เราจ่ายเงินเต็มทั้ง 2 อันเลย เดี๋ยวจะแนบเอกสารการจ่ายเงินให้ดูค่ะ เรารีวิวแบบตรงๆเทียบข้อดีข้อเสียให้เลยค่ะ ถือว่าเป็นรีวิวแบบ CR ค่ะ ไม่ใช่ SR แต่อย่างใด

สำหรับมี่เอง เป็นเด็ก 63 (Dek 63') นะคะ และมีเป้าหมายแล้วค่ะว่าอยากเข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่ไหน คำตอบก็คือจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล (วิทยาลัยนานาชาติ) สาขาสื่อและการสื่อสาร หรือ Mahidol University International College (MUIC) สาขา Media and Communication นั่นเอง คือจะยื่นฝั่งม.รัฐนานาชาติทั้งหมดเลยค่ะ จะไม่เข้าฝั่งไทยแน่นอนค่ะ สำหรับ IELTS แล้วมี่คงต้องเข้าทาง Regular Track ค่ะ เพียงเพราะ Writing ไม่ถึง 6.0 ทั้งที่ Overall มากกว่าที่เขาขอค่ะ แต่มี่เองก็อยากทำให้ได้คะแนนสูงๆเพื่อแสดงว่าเราพร้อมสำหรับการเรียนในหลักสูตรนานาชาติมากกว่าคนอื่น และอยากมั่นใจว่าเราต้องติดตั้งแต่รอบเดือนตุลาคมและรักษาสิทธิ์การเรียนอย่างแน่นอนค่ะ เหมือนเป็นการซื้อความเสี่ยงให้ปลอดภัยมากขึ้นไปอีกขั้นนึง มี่ชอบสาขานี้ค่ะ เพราะว่าดูเปิดกว้างให้เราได้ลองหลายๆอย่างที่เกี่ยวกับ Film ดีอะค่ะ เอาเป็นว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุดตามความฝันของตัวเองค่ะ ❤️

บล็อคนี้ส่วนนึงจะเป็นการเตือนใจตัวเองค่ะว่าให้คิดถึงอนาคตตัวเองเข้าไว้ บอกตัวเองให้สู้ๆค่ะ 🥰

- เริ่มที่การรีวิวการเรียนติวภาษาอังกฤษ คลาส IELTS Express B ที่ Westminster Pinklao ก่อนนะคะ -

ตอนแรกเมื่อต้นปีมี่ได้ดูของอีกสถาบันนึงในเซ็นทรัลปิ่นเกล้าไว้เช่นกันค่ะ แต่ตอนนั้นดูแล้วไม่ค่อยประทับใจค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าพนักงานของที่นั่นดูพูดจาไม่โอเคค่ะ ไม่มีการพูดให้กำลังใจใดๆเลย เราไม่ใช่คนที่ยอมรับความจริงไม่ได้นะคะ แต่จากการที่ฟังเขาพูดแล้วเรารู้สึกเหมือนว่าเขาจะขายแต่คอร์ส 6 เดือนอย่างเดียวเลยอ่ะ ซึ่งความจริง 3 เดือนมันก็โอเคแล้วสำหรับเรา เพราะเราเป็นคนจ่ายเงินเรียนอ่ะถูกปะ ทำไมเราถึงไม่มีสิทธิ์เลือกล่ะ? ละคอร์ส 6 เดือนก็ราคาประมาณ 50,000 กว่าบาทค่ะ ไม่ได้รู้สึกว่าแพงอะไรหรอก แต่ไม่มี First Impression กับที่นี่อ่ะ ตอนแรกเลยคิดว่าจะเรียนมั้ยแต่พอไปถามพี่คนนึงเขาก็บอกว่า "ถ้าน้องไม่ชอบที่ไหนก็อย่าเรียนที่นั่น เพราะมันจะรู้สึกแบบ.. ต้องมาเรียนอีกแล้วหรอ เราจะไม่ active ด้วยตัวเอง เพราะรู้สึกเหมือนถูกบังคับไปเรียนมากกว่า" ตอนนั้นก็คุยกับพ่อไว้เหมือนกัน จนวันถัดๆมาเลื่อนฟีดใน Facebook อยู่ก็เจอสถาบัน Westminster ที่มีสาขาแรกที่อโศกมาเปิดที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้าแล้ว เราดีใจมาก เพราะตอนแรกก็เล็งที่นี่ไว้แต่ตอนนั้นรู้สึกว่ามันไกลไปมั้ย ละหวยก็มาลงที่ WIN ค่ะ

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่ามี่มีผลสอบคะแนน IELTS คือ 5.5 (ขายของละกัน บล็อก IELTS แรกคือ

อันนี้ นะคะ) อยู่แล้วเลยสามารถลงเรียนที่คอร์สเลเวล 2 ได้เลยค่ะ หรือที่เรียกว่า IELTS Express B ค่ะ โดยที่เลเวลนี้รับคะแนนเข้าที่ Overall 5.0 นะคะ ตัวมี่มีเป้าหมายที่จะสอบแล้วอยากได้ Overall 6.0 หรือ 6.5 ค่ะ เพราะคุยกับคุณป้าเขาบอกว่า 6.0 มี่ได้แน่ๆแต่ 6.5 ก็มีลุ้นนะ แต่คิดว่าคงยังไม่ถึง 7 ... ก็ลุ้นๆกันไปค่ะ แต่พูดตรงๆคือเครียดมากกลัวว่าจะทำออกมาไม่ได้ดีตามที่คาดหวังไว้


- คำถามที่คิดว่าคงจะมีคนถามแน่นอนสำหรับการทำบล็อกครั้งนี้ ❓ -

Q : ตอนไปวัดระดับภาษาอังกฤษ ข้อสอบยากมั้ย เขามีให้สอบพูด (Interview) มั้ย ?

A : มี่เองไม่ทราบค่ะ เพราะว่าตอนมี่สมัครเรียนมี่มีผลสอบ IELTS ที่ Overall 5.5 อยู่แล้วค่ะ เลยสามารถเข้าเรียนที่ระดับ Express B ได้เลยโดยไม่ต้องสอบวัดระดับค่ะ เพราะผลสอบ IELTS สามารถบอกได้ครบทุก skills แล้วค่ะ แต่ถ้าใครอยากสอบซ้ำเพื่อได้เลเวลที่ดีขึ้นก็โอเคค่ะ แล้วแต่ความสะดวกเลยค่ะ มี่ได้ยินว่าถ้าสอบวัดระดับของที่นี่จะมี 4 ระดับค่ะคือ

1) Pre-IELTS (ปรับพื้นฐาน หรือ Foundation) เป็นแบบ Private ขั้นต่ำ 20 ชม. ค่ะ สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานเลย หรือมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษค่อนข้างน้อยค่ะ

2) IELTS Express A จะนับเป็นเลเวลที่ 1 ค่ะ คลาสนี้จะเป็นการปรับพื้นฐานแกรมมาร์/vocabulary เพื่อเรียนในเลเวลต่อไปค่ะ ถ้าจำไม่ผิดรับเข้า 4.0-4.5 เพื่อเป้าหมาย 5.0 ค่ะ

3) IELTS Express B เป็นเลเวลที่ 2 นะคะ คะแนนรับเข้าคือ 5.0 เพื่อเป้าหมาย 5.5-6.5++ ค่ะ แต่เห็นพี่เขาบอกว่าส่วนใหญ่จบคอร์สนี้ไปสอบก็ได้ 6.0+ กันนะคะ

4) Advanced IELTS เป็นเลเวลสูงสุดค่ะ หรือเวลที่ 3 รับเข้าที่ 6.0 การันตีผล 6.5-7.5++ ค่ะ ผลก็คือตามที่เขาโฆษณาคือ 6.5++ ยกห้องค่ะ

สำหรับคนที่เรียนจบแต่ละเลเวลแล้วอาจารย์จะมี Feedback และประเมินให้ว่าเราพร้อมสำหรับการเรียนเลเวลถัดไปมั้ย โดยที่ไม่ต้องสอบ IELTS เลยค่ะ

Q : เรียนที่นี่เป็นยังไง สอนดีมั้ย ได้ฝึกพูดหรือเขียนเยอะหรือเปล่าถ้าเทียบกับที่อื่น ?

A : สำหรับตัวมี่เอง มี่ว่าสอนดีและคุ้มราคาค่ะ มี่ได้เรียนกับ Teacher Reina นะคะ เป็นครูผู้หญิงอเมริกันจาก Los Angeles ที่สาขาปิ่นเกล้า (เปิดสาขาใหม่ สะดวกสำหรับมี่มากกว่าที่อโศก)ค่ะ คือต้องบอกก่อนว่าตัว Express B จะเน้นการสอนเทคนิคทำข้อสอบทั้ง 4 skills เช่น paraphrasing idea ต่างๆ, การหา keywords, synonym, part of speech อะไรแบบนี้มากกว่าเจาะไปที่ตัวข้อสอบ แต่เรียนแล้วต้องขยันทำการบ้านหรือ Mock up tests และ self-study ด้วยนะคะ เพราะที่นี่เล่น self-study record แบบจริงจังมาก เล่นใหญ่มาก จะกำหนดมาเลยว่าต้องทำ Vocabulary review หน้าไหนบ้าง deadline วันที่เท่าไหร่ต้องทำให้ทันและให้ teacher เซ็นค่ะ อย่างของมี่ต้องส่ง Vocabulary review 16 หน้าในวันอาทิตย์ที่ 17 มี.ค. 2019 เลยค่ะ (ต้องจบภายใน Blog A การบ้านที่นี่แบ่งตาม Blog A และ B ค่ะ ยังไง Teacher ผู้สอนเราก็ต้องบอกและเตือนเราให้ทำการบ้านมาส่งแน่นอนอยู่แล้วนะคะ งั้นอย่าลืมทำค่ะ)

อยากแนะนำอีกอย่างหนึ่งคือซื้อแฟ้มที่เป็นเล่มๆแบบในรูปข้างล่างมาเก็บพวก Essays, ชีทที่ Teacher แจกก็ดีนะคะ เพราะมี่ว่ามันหาง่ายดี ละเป็นระเบียบแถมอ่านง่ายด้วยนะคะ ส่วนสมุดที่มี่ซื้อ Section Note มาเพราะว่าเป็นคนที่ชอบจดแบบละเอียด และเพื่อนสนิทแนะนำมาว่าให้จดเทคนิค Bullet คือมีหัวข้อใหญ่ หัวข้อรองและคำอธิบายค่ะ จะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นและสมุดพวกนี้ก็ง่ายต่อการจดค่ะ

และยิ่งใช้กับปากกาสีหรือไฮไลท์ที่เราชอบ เรายิ่งอยากอ่าน อยากจดค่ะ

สรุป Facts ของสถาบัน Westminster ตามประสบการณ์โดยตรงของตัวเอง :

- ถ้าเรียนวันเสาร์-อาทิตย์จะเรียนวันละ 5 ชม. ตั้งแต่ 10.30-16.30 น. มีเวลาพักกลางวัน 13.00-14.00 น. และกลับมาเรียนต่อ (แล้วแต่ว่าคลาสเช้าเลิกกี่โมง เช่น เลิกไม่ตรงเวลา เลิก 13.15 ก็กลับมา 14.15) ประมาณว่าตอนเช้าเรียน 2 ชั่วโมงครึ่งและตอนบ่ายอีก 2 ชั่วโมงครึ่ง มี่ไม่ได้รู้สึกว่าเรียนเยอะอะไรนะคะ ก็สนุกดีค่ะ เหมือนตอนที่ไปเรียนที่ NZLC Auckland เลยแต่ที่นั่นจะแบ่งเป็นตอนเช้า 3 ชั่วโมงและตอนบ่าย 2 ชั่วโมงค่ะ (เอ้า ขายของสิจ๊ะ สนใจอ่านต่อไปที่นี่ จ้า)โดยเราจะเรียนวันละ 5 ชั่วโมงเป็นเวลา 10 วันค่ะ ก็ประมาณ 5 สัปดาห์หรือเดือนกว่าๆถึงจะจบคอร์สครบ 50 ชั่วโมงค่ะ

ขอดูได้ที่พี่แอน/พี่นิวตรงเคาท์เตอร์หน้าโรงเรียนนะคะนะคะ

แผนการเรียน Blog A 25 ชั่วโมงแรกค่ะ

- คลาสเราคนน้อยค่ะ เรียนกันแค่ 5 คนเอง แถมเป็นผู้หญิงหมดเลยด้วย 5555 เราเด็กสุดในห้อง (อีกแล้ว) จนมีเพื่อนอีกคนนึงคือข้าวหอมค่ะ ส่วนพี่ๆคนอื่นจบป.ตรี/ทำงานแล้วค่ะ ส่วนมากพี่ๆ 2 คนคือพี่แพรวกับพี่มิลค์ทำงานเกี่ยวกับกฎหมาย พี่แพรวจะสมัครทุน UN/พี่มิลค์จะสมัครเรียนต่อที่ UK (พี่เขาได้ทุนกพ.ค่ะ), พี่แจงจบด้านวิศวะการสื่อสาร กำลังจะศึกษาต่อปริญญาโทที่ประเทศเยอรมนี, พี่เค้กจะสมัครเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ (พี่เค้กเคยไปเรียนภาษาที่นิวมา 1 ปีค่ะ) และมี่กับข้าวหอมสอบ IELTS เพื่อเรียนต่อระดับปริญญาตรีในไทยค่ะ ตัวมี่เองจะยื่นเข้าอินเตอร์หมดเลย ส่วนข้าวหอมยื่นเพื่อเรียนแพทย์ค่ะ (สู้ๆนะเธอ ❤️) แอบแนะนำโครงการมศวและ U of Nottingham ให้เรียบร้อยจ้า อิอิ

ซึ่งในคอร์สเขาบอกว่าคลาสเล็ก 8-12 คน ก็ไม่เชิง 5 คนหรอกค่ะ เหมือนจะ 6 มากกว่า แต่เป็น 6 ที่ไม่พร้อมกันอ่ะ งงปะ 55555 เพราะว่าคอร์สนี้มัน 50 ชม.ก็จริง แต่หลังจากที่เขาจบ Blog A แล้ว (ครบ 5 ครั้งหรือ 25 ชั่วโมง) เขาก็จะเปิดรับคนสมัครเพิ่มค่ะ แต่ไม่แนะนำให้มาแทรกกลางเท่าไหร่ค่ะ เพราะว่าเพื่อนจะหายเอา 555 แต่ถ้าไม่ซีเรียสอยากได้เพื่อนเพิ่มเยอะกว่าคนอื่นวิธีนี้ก็โอเคเลยค่ะ เจอคนหลากหลายมากขึ้น คือในห้องเราตอนแรกมี : พี่แจง, พี่เค้ก, พี่แพรว, พี่มิลค์และมี่ค่ะ แต่พี่แจงจบก่อนเราเพราะพี่เขาเริ่มที่ Blog B ก่อนถึงมา Blog A ค่ะ ในขณะที่ 4 คนที่เหลือคือเราเริ่ม Blog A ก่อนละค่อยไป Blog B หลังจากพี่แจงจบไปก็มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเข้ามาเพิ่มค่ะ ชื่อว่า "ข้าวหอม" ค่ะ ถ้าให้แนะนำคือเราว่าควรมาเริ่ม Blog A และไป B ค่ะ เพราะว่า A จะเน้นการบ้านที่ทำให้มีคลังศัพท์เพิ่มค่ะ ใช้ในการ Speaking ได้ เพราะ Blog B เราเน้น Speaking และ Writing Task 1 นะคะ (อันนี้พี่แจงบอกมาด้วยค่ะ)

เป็นหนังสือที่ทางสถาบันทำเองค่ะ จะรวบรวมข้อมูลจาก Cambridge IELTS และแบบฝึกหัดอื่นๆด้วยค่ะ มี่ว่าดีมากเลยนะคะ พวก Topic การเขียน Essay Task 2 มีเยอะมากๆค่ะ ถ้าใครอยากฝึกเขียนเยอะๆได้รับ Feedback เยอะๆสามารถเขียนส่งได้เฉพาะในช่วงเวลาที่เราเรียนเท่านั้นค่ะ หลังจบคอร์สไปเราจะไม่สามารถเขียนมาส่งให้อาจารย์ตรวจได้อีกแล้วนะคะ

- การบ้านที่นี่โหดมาก เยอะมาก ไหนจะ self-study record ที่ต้องรีบทำให้จบภายในครั้งที่ 5 (25 ชม. แรกของคอร์ส) หรือที่เรียกว่า Blog A ต้องทำให้เสร็จและให้ Teacher เซ็นรับรอง (จะบอกสาเหตุให้ว่าทำไมนะคะ) และการบ้านที่สั่งในห้องแยกอีกต่างหาก ทั้ง essay และพวก mock up tests ตั่งๆมากมาย แต่ถ้าอยากได้ band สูงๆก็ต้องทำแบบนี้แหละ ถ้าเราไม่พยายามฝึกด้วยตัวเองคะแนนมันจะไปขึ้นได้ยังไง จริงมั้ย? เพราะที่เขาสอนมาก็เป็นแค่ techniques แต่ของจริงมันอยู่ที่การฝึกทำเยอะๆ ความพยายามของเราเนี่ยแหละ สำคัญที่สุด

- ที่นี่มี study lab หรือคอมให้ยืมทำแบบฝึกหัด Listening กับ Reading อะแหละ ถ้า Listening เขาจะมี Booklet เคลือบพลาสติกให้เรา Reuse ได้คือเอาปากกาเมจิกแบบลบได้มาเขียนคำตอบบน Booklet เหมือนสอบจริง แต่พอใช้เสร็จ Transfer คำตอบลงไปในกระดาษคำตอบแล้วก็เอาทิชชู่มาลบปากกาจ้าอาจจะ writing ด้วยก็ได้ (ส่งได้เฉพาะ period ที่เรียนอยู่เท่านั้นจ้า) แต่ speaking แนะนำให้หา topic พูดแล้วอัดเสียงลงในโทรศัพท์ที่บ้านดีกว่าจ้า หรืออีกอย่างคือจบคอร์สก็ลง IELTS Extra Speaking ได้เหมือนเราสอบพูดจริงเลย แต่เขาจะให้ Feedback กลับมาด้วยว่าโอเคมั้ย ควรปรับปรุงตรงไหน ปล. เราสามารถมา study lab เพื่อฝึกทำข้อสอบ Listening & Reading ได้ตลอด แม้ว่าคอร์สเรียนเราจะหมดแล้วก็ตาม แต่ writing ส่งได้เฉพาะระยะเวลาที่เรียนเท่านั้นนะจ๊ะ เช่น เรียน 5 เม.ย. - 17 พ.ค. เราก็ส่งได้แค่ช่วงนี้ จะไปส่งช่วง 23 พ.ค. ก็ไม่ได้แล้วนะ

- พี่ๆสต๊าฟน่ารักมาก ทั้งพี่ณชา,พี่แอนและพี่นิวเลย พี่เค้าคอยให้ความช่วยเหลือตลอดแค่ไปขอให้พี่เขาช่วย อย่างที่สาขาปิ่นเกล้าจะมีพี่แอน พี่แอนจะช่วยเราตลอด เช่น ขอให้ปริ้นท์ Passage ของ Reading ไปฝึกทำที่บ้าน (อันนี้พี่แจงแนะนำมานะว่าทำได้ เพราะเราไม่ถนัด Reading บนกระดาษเคลือบ เราชอบใช้ไฮไลท์ขีดลงไปเลยไง อิอิ), แนะนำเรื่องการอัพคะแนน หรือแนะนำเรื่องเรียนต่อของ UK & USA (ที่นี่เป็นศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อด้วย) ถ้ามีคำถามพวกนี้ถามพี่นิวได้เลยจ้า พี่เขาดูแลด้านนี้โดยเฉพาะด้วยนะ เห็นบางทีก็บินไปอังกฤษเพื่อไปดู U ให้น้องๆด้วยจ้า

- Teacher มีคุณภาพ เข้าถึงง่าย อธิบายแล้วเข้าใจแจ่มแจ้ง มีอะไรอยากคุยตอนเลิกเรียนก็คุยได้ตลอด นี่ชอบคุยกับ Teacher Reina เรื่องมหาลัยอเมริกา, สวนสนุก (California สวนสนุกเยอะมาก เราอยากไป Disneyland/Six Flags Magic Mountain มากกกก) ถ้าอยากให้เขาเช็ค essay ก็ส่งให้เขาได้เลย ส่งได้มากตามที่เราต้องการเนี่ยแหละ เขาช่วยประเมินคะแนนคร่าวๆให้เราได้ด้วยนะ ซึ่งคะแนน Writing ส่งกี่รอบอิชั้นก็ได้แค่ 5.5 ค่ะ ปลงล่ะ ถถถถ

สาเหตุที่ทางสถาบันจะไม่รับรองผลสอบ IELTS หากมันไม่ออกมาตามที่เขาการันตีคะแนนของเลเวลนั้นๆคือ : ไม่ฝึกทำ mock tests (ไม่เท่าไหร่) แต่ ไม่ทำ self-study เลย หรือทำไม่ครบในระยะเวลาที่กำหนด หรือ ขาดเรียน หรือเข้าเรียนไม่ครบ 50 ชั่วโมง (ไม่แน่ใจเกี่ยวกับกรณีที่ไม่สบายนะคะ)

เมื่อจบคอร์สแล้ว Teacher ที่สอนเรามาตลอด 50 ชั่วโมงจะต้องเขียน Feedback ให้กับนักเรียนค่ะ จะมี estimated band score ใน Writing และ Speaking ให้ด้วย ส่วน Listening และ Reading ต้องขยันฝึกทำข้อสอบเอานะคะ

Q : ถ้ามีเวลาที่จำกัดก่อนสอบ IELTS เข้าไปเรียนมันจะติวทันไหม ?

A : แล้วแต่พื้นฐานภาษาของแต่ละคนค่ะ ต้องไปวัดระดับภาษาที่สถาบันแล้วลองถามพี่ๆเจ้าหน้าที่ดูนะคะ ^^ ถ้าพื้นฐานไม่ดีก็อาจจะใช้เวลาปรับเข้า private ก่อน 20 ชม. ตามเวลาที่เราสะดวก แล้วค่อยต่อได้ Express A, B, Advanced คิดว่าใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนแล้วแต่ว่าคอร์สเปิดตอนไหนช่วงไหนบ้าง ถ้าพื้นฐานกลางๆ/ดีก็ใช้เวลาเรียนแค่ 1 คอร์สก็ได้ค่ะแล้วลองไปสอบดูว่าได้ตามแบนด์ที่หวังไว้มั้ย ในกรณีที่อยากอัพคะแนนพาร์ทไหนเป็นพิเศษสามารถกลับมาเรียนคอร์ส private ได้เช่นกันค่ะ เช่น ไปสอบ writing มาได้ 6.0 แต่มหาลัยที่สมัครจะเอา 6.5 ก็เรียน private เพื่ออัพคะแนน writing อย่างเดียวก็ได้ค่ะ เพราะว่าการเรียน private มัน flexible มากกว่าอยู่แล้ว หรือบางคนต้องรีบใช้ผลคะแนนมากไม่สามารถเรียนเป็นคอร์สกลุ่มได้ก็ต้องลง Private เอาค่ะแต่ค่าเรียนจะสูงกว่านะคะ เท่าที่รู้มาลงขั้นต่ำ 20 ชม.ก็เกือบๆ 4 หมื่นค่ะ

Q : ค่าเรียนอยู่ที่เท่าไหร่คะ แพงหรือเปล่า ?

A : ค่าเรียนอยู่ที่ 18,950 บาทค่ะ และค่าหนังสือ IELTS Express เล่มสีม่วงทั้ง Coursebook (กระดาษสีแบบมัน) + Workbook (กระดาษสีขาวดำ) และ Supplementary Book (แบบสี) พร้อมสมุดจดมีเส้นบรรทัด ราคา 1,600 บาท (แต่มี่ไปซื้อสมุดมาใหม่เองนะคะ แบบ Section Note เพราะถนัดจดแบบนี้มากกว่าค่ะ รวมค่าเรียนก็ 20,550 บาทค่ะ สำหรับมี่.. คิดว่าไม่แพงเลยค่ะ ถือว่าคุ้มมากๆ ตกชั่วโมงละ 379 บาทค่ะ การเรียนการสอนถือว่าคุ้มมากสำหรับเงินที่เสียไปค่ะ

Q : เรียนจบคอร์สแล้วต่อคอร์สระดับถัดไปเลยหรือไปสอบก่อนดีกว่ากัน ?

A : มี่ว่า.. ถ้าใครเข้ามาตอน Express B แล้วอยากได้คะแนน 6-6.5 แค่นั้นก็ขยันเข้า study lab เยอะๆ ฝึกฝนทักษะที่เรียนในห้องให้เอามาใช้ได้จริง แล้วก็ไปลองสอบ IELTS แบบที่มี่ทำได้เลยค่ะ ถ้ามันไม่ถึงเป้าหมายที่มี่วางไว้จริง (ความจริงได้ 7 ก็ดีค่ะ 555555) มี่คงกลับมาต่อ Advanced ค่ะ คำแนะนำของพี่แอนคือถ้าเรียนจบตอนไหนก็ควรไปสอบภายในเดือนที่จบเลยค่ะ อย่าปล่อยไว้นานกว่านั้น เพราะถ้าเราไม่ทวนทุกวันความรู้ที่เราเรียนมาเราก็ลืมอยู่ดีค่ะ สู้เรียนจบแล้วรีบสอบไปเลยดีกว่า จะได้ผลที่ดีที่สุดค่ะ

Q : เรียนจบแล้วเราจะได้อะไรมั้ย เช่น ใบประกาศนียบัตร ใบ Feedback (Report) ?

A : เราได้ใบ Feedback Report จาก Teacher ที่สอนเราแน่นอนค่ะ และการประเมินว่าเรียนระดับต่อไปได้มั้ยด้วยค่ะ และตอนที่ถามพี่ณชา เขาบอกว่าถ้าอยากได้ใบ Certificate of Achievement ทางโรงเรียนสามารถออกให้ได้ค่ะ แต่พอถามพี่แอนแล้วพี่แอนบอกให้ถามพี่นิวค่ะ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสรุปแล้วออกได้หรือเปล่า


- รีวิวการเรียนที่ Westminster Pinklao จากพี่ๆในห้องเรียน -

"เรียนไอเอลกับอาจารย์เรน่า ส่วนตัวประทับใจมาก เป็นการเรียนกลุ่มเล็กๆ สอนทั่วถึง อาจารย์ใส่ใจเด็กทุกๆคนและสอนเป็นขั้นตอน ช่วยพัฒนาระบบความคิดให้กับนักเรียน ทำให้เข้าใจว่า เราควรจะใช้สิ่งที่เรามี ความรู้ที่เรามียังไงให้ถูกจุดกับตัวข้อสอบไอเอล ชอบวิธีการสอน พาร์ทรีดดิ้งมากที่สุด รู้สึกว่าอาจารย์เขาสามารถสอนเราได้อย่างเข้าใจทุกขั้นตอน ทั้งๆที่ไม่มีความรู้มาก่อนเลย ว่าจะต้องเริ่มตรงไหน ส่วนตัวพาร์ทรีดดิ้งเป็นพาร์ทที่หินที่สุดเลยประทับใจกับการสอนของอาจารย์มากๆ พาร์ทไรติ้ง อาจารย์ก็สอนละเอียด ติดตรงพาร์ทฟัง ไม่ค่อยได้เรียนซะเท่าไหร่ แต่ทางสถาบันก็มีห้องแล๊ปให้เข้าใช้ได้ถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากๆ 50 ชม.ที่ได้เรียนคือประทับใจมากๆ หนังสือก็ดีมากเช่นกัน"

รีวิวจากพี่แพรว

---------- จบการรีวิวเรียนติวที่สถาบัน Westminster Pinklao ----------

 

- แถมเรื่องการลอง IELTS Mock Up Test ของทาง SI-UK Thailand 😄 -

ก่อนอื่นคือ.. เรารู้จักการ Mock Up ของ SI-UK จากพี่มิลค์ (แต่เขาเรียกจริงๆว่า Demo Test) เพราะพี่เขาบอกว่ามันมี Mock Up นะ ทุกๆวันอังคาร (เฉพาะวันอังคารเท่านั้นจ้า ไม่มีวันอื่น) ราคาเพียง 300 บาทเท่านั้น ถ้าใครสนใจให้เข้าไปที่ได้เว็บนี้เลยจ้า

ถ้าเราจะไม่ผิดจะใช้เวลารอผล Demo Test ประมาณ 1 อาทิตย์ คือถ้าใครอยากได้ผลเร็วกว่านั้นแบบมี่ที่สอบวันอาทิตย์ พี่เขาบอกว่าเขาสามารถเร่งตรวจ 3 พาร์ทคือ Listening, Reading, Speaking ได้ แต่ Writing เราต้องรออาจารย์เจ้าของภาษาเขาตรวจ ถ้าเขาว่างเร็วเขาก็ตรวจให้เราได้เร็ว

คือเราจะได้ลองทำข้อสอบเก่าครบทั้ง 4 skills คือ Listening, Reading, Writing, Speaking จับเวลาข้อสอบจริงเลย จะได้ดูว่าเราทำพาร์ทไหนไม่ทันบ้าง เราช้าพาร์ทไหน ควรจะปรับปรุงยังไงให้ทำให้ทัน

เวลาสอบจะมี 2 รอบตามในภาพคือรอบ 10.00-13.00 น. และรอบบ่ายคือ 14.00-17.00 น. ซึ่งตัวมี่เองเลือกสอบรอบบ่าย เพราะกลัวจะไปตอนเช้าไม่ทันอ่ะ

สำหรับการเดินทางคือมี่เดินทางด้วย MRT ลงสถานีสุขุมวิท ละตอนนั้นมาเร็วเวลาเหลือเลยเดินเล่นต่อที่ Metro Mall หาของกินอะไรแบบนี้ ละก็ออกไปที่ Glas Haus Building โดยทางออก 2 พอเดินออกมาให้เลี้ยวซ้ายเท่านั้นแล้วก็เดินไปเรื่อยๆจะเจอ Jasmine City ละตึกถัดมาจะเป็น Glas Haus ให้เดินเข้าไปทางข้างๆธนาคารธนชาตแล้วก็แลกบัตรติดต่อ ต้องเอาบัตรประชาชนไปแลกนะ อย่าลืมเอาไปด้วย จากนั้นก็กดลิฟต์ไปที่ชั้น 8 พอออกจากลิฟต์มาให้เลี้ยวซ้ายละเดินไปจะเจอสำนักงานของ SI-UK เลย

พอเข้ามาที่บริษัท เขาก็จะถามว่า "มาสอบ IELTS Demo Test ใช่มั้ยคะ" แล้วเขาก็จะให้เรานั่งรอเวลาที่เราต้องสอบ พอ 13.50 น. เขาจะให้เราเข้าไปที่ห้องเพื่อสอบ ก็จะบอกกฎกติกาต่างๆว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ก็เริ่มจาก Listening, Reading, Writing ตามลำดับเลย แต่เท่าที่ฟัง CD เหมือนที่นี่จะใช้ของ Oxford University Press นะไม่ใช่ของ Cambridge ที่เป็นองค์กรออกข้อสอบ แต่ก็ไม่เป็นไร แนวข้อสอบมันก็แนวเดียวกันนั่นแหละ หลังจากจบ 3 skills จะให้เราพักดื่มน้ำแล้วรอสอบพูดต่อ

หลังจากสอบพูดเสร็จเราก็เดินไปจ่ายเงิน 300 บาทที่ Reception พี่เขาก็จะให้ใบเสร็จรับเงินมา

รีวิวการสอบ Demo Test :

- Listening 🎧 : ส่วนมาก 2 พาร์ทแรกจะเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศ เช่น เอกสารนี้ essential, recommended หรือ NOT recommended ส่วนพาร์ทที่ 3 พูดเกี่ยวกับมหาลัยที่มี facilities สำหรับคนพิการ และพาร์ทที่ 4 พูดเกี่ยวกับเรื่องพลุ เช่น Serpentine Fireworks

- Reading 📖 :

1. แพสเสจแรกเกี่ยวกับความอัศจรรย์ของผิวหนังและประสาทสัมผัสจากการสัมผัส เช่น ใส่ถุงมือจุมน้ำแต่ทำไมรู้สึกว่ามือเปียก ถาม heading ของแต่ละ paragraph, true/false/not given

2. เกี่ยวกับระบบกุญแจ เช่น Wafer lock, pin lock มี match headings คือจะให้อ่านละดูว่า paragraph นี้เหมาะกับ heading ไหนที่สุด, เติมคำในช่องว่าง 3. เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของ European Mainland, Anglo-American และการรับรูปแบบบริษัทอเมริกันเข้ามาใน UK มี paraphrasing ใหม่และเติมศัพท์รวมถึง choice 1 ข้อ

- Writing 📝 :

1. Task 1 เกี่ยวกับ gender differences in school enrollment ใน developed กับ developing countries

2. Task 2 เกี่ยวกับพวก directors ใน big companies ที่ได้ much bigger salaries เมื่อเทียบกับ ordinary workers เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

- Speaking 🎤 : ได้คำถามส่วนตัว คือ ชื่อจริง ชื่อเล่น,โรงเรียน เกรดที่เรียน,วิชาที่ชอบเรียน

คำถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในต่างประเทศ :

1. ระหว่างเมืองไทยกับตปท.แตกต่างกันเรื่องอะไร เลยตอบว่าเรื่องภาษา เพราะว่าคำบางคำในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษไม่เหมือนกัน แต่พอใช้ผิดคนที่นั่นก็สอน ทำให้ได้ vocabulary ใหม่ๆเพิ่มขึ้น เข้าใจความต่างของภาษา

2. ปรับตัวเข้าหาคนในท้องถิ่นยังไง ก็เลยตอบว่าอยู่กับโฮสต์แฟมิลี่ทำให้ได้เรียนรู้ culture ของเขาและได้เผยแพร่วัฒนธรรมของเราให้เขาเข้าใจมากขึ้น

3. ระหว่าง cinema, theatre, live concert อยากไปที่ไหนมากกว่า ตอบว่า cinema เพราะเป็นแฟนคลับมาร์เวลและจะไปดู endgame พรุ่งนี้ พอสอบเสร็จเขาก็บอกว่าเอองั้นไปดูด้วยดีกว่า 5555

*สำหรับใครที่จะไปสอบละสอบแบบ paper-delivered แนะนำให้มา mock up ดูมากๆ ใครสอบคอมแบบเราก็ลองได้นะ แต่ข้อเสียคือเราเขียนช้ากว่าพิมพ์ เจอปัญหาคือเขียนคำขาดอีกแล้วจ้า

ปล. พี่เขาจะแจ้งผลสอบทางอีเมลล์ที่เราให้พี่เขาไว้จ้า รอกันหน่อย แต่ไม่เกิน 1 อาทิตย์

ผลสอบ IELTS Demo Test

Mock Up Test Results :

- Listening: 5.5

- Reading: 5.5

- Writing: 5.5

- Speaking: 6.0

- Overall: still 5.5 (LOL 🤪 )

---------- จบการรีวิว Mock Up test with SI-UK Thailand ----------

 

- รีวิวการเตรียมตัวเพื่อสอบ IELTS จากมี่ -

- Listening 🎧 : สำหรับการเตรียมตัวพาร์ทนี้คือมี่เข้า study lab ที่ WIN ด้วยค่ะและก็เอาแบบฝึกหัดกลับมาทำเองตรวจเองที่บ้านแล้วค่ะ หรือบางทีถ้าทำที่ study lab จะมีพี่แอนคอยตรวจคำตอบให้ค่ะ เราจะรู้ raw scores และ band score ด้วยนะคะ มี่ฝึกทำช่วง Cambridge IELTS 10-13 ค่ะ ไม่ได้ทำหมดนะ คละๆกันไปแล้วแต่ว่าหยิบได้อันไหน แต่มี่ว่าถ้าสอบคอมพิวเตอร์เหมือนเราได้ฝึกทักษะการฟังอย่างเดียว ถ้าใครอยากลองฝึกหัดทำ listening แบบพิมพ์ดู ลองเข้าไปที่เว็บ IELTS Online Practice Tests (ไปที่นี่) เราว่ามันเวิร์คมากๆเลย เราได้ฝึกฟังไปด้วยแล้วก็ช่วยได้มากๆเลยล่ะ แถมในเว็บจะมีพวก IELTS Analytics ด้วยนะ เหมือนเป็นคะแนนเฉลี่ยของเราในพาร์ท Listening กับ Reading แต่ตัวมี่เองฝึกในเว็บนี้แค่ Listening เพื่อให้ฝึกพอทันเฉยๆ

เทคนิคข้อสอบ Listening : ก่อนฟังให้อ่านคำถามให้ดีก่อนว่าต้องเขียนกี่คำ, หา keywords, มีสติตั้งใจฟังให้ดี เราไม่ต้องฟังให้หมดก็ได้แต่เราต้องรู้ว่าคำไหนคือคำตอบของเรา และส่วนหนึ่งคือมี่เป็นคนฟังเพลงสากลตลอดบวกกับดู Netflix, Series เป็นซับอังกฤษอยู่แล้วเลยฟังพอจับใจความได้บ้าง

เว็บไซต์แนะนำสำหรับเทคนิคเพิ่มเติม :

- 5 things you can do today to raise your listening score: ที่นี่ - เทคนิคการทำข้อสอบพาร์ท Listening by Oxbridge : ที่นี่

- Reading 📚: ส่วนพาร์ทนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเรามากอ่ะ เราเป็นคนชอบอ่านนะ แต่อ่านเฉพาะเรื่องที่เราสนใจ ละข้อสอบอ่านส่วนมากมันจะแนวๆแบบ... สังคม, ภูมิศาสตร์, โบราณคดี, มานุษยวิทยาและแนววิทยาศาสตร​์จำพวกเคมี,ชีววิทยาอะไรแบบนี้ แอบโชคดีหน่อยที่ตอนสอบเราได้เจอพาร์ทเกี่ยวกับ Space Company ของ Peter Beck ละเราชอบมาก อ่านละสนุกดี ในขณะที่เวลาฝึกทำก็แบบ... reservoirs, skins อะไรแนวนี้แหละ อ่านละเบื่อมาก ไม่มีแรงจูงใจในการอ่านสักนิดเลย พาร์ทนี้ส่วนมากเราทำบน booklet ที่พี่แอนปริ้นท์ออกมาให้ทำอย่างเดียวเลย ไม่ได้ฝึกในเว็บไซต์ข้างบนเลยจ้า

- Writing 📝 : พาร์ทนี้เราขยันเขียนพอสมควรนะ ส่ง Teacher Reina ไปประมาณ 10 tasks ได้ แต่ไม่ว่าเขียนกี่รอบก็ได้แค่ 5.5 ยกเว้นพาร์ท flow chart ที่ได้ 6.0 เราก็เลยแบบเออ.. 5.5 คงเป็นคะแนนจริงแน่นอนแล้วแหละ มันคงไม่ขึ้นมากกว่านี้แล้ว ต่อให้มี pattern ช่วยอะไรงี้ก็คงได้แค่นี้แหละ ก็ปลงๆกันไปอ่ะนะ 55555 แต่หลังจบคอร์ส Teacher Reina ประเมินคะแนนให้ 5.5-6.0 จ้า เวลาเขียนเราไม่ได้เขียนนะ เราสอบคอมเลยลองพิมพ์ดูใน Google Document ละแนบส่งไปทางเมลล์ให้ Teacher Reina ตรวจเอาเลย ละเขาก็จะให้ feedback กลับมา

คำแนะนำในการทำ Writing : ปกติมี่เป็นคนเขียนไม่เร็วอยู่แล้วค่ะ นั่นเป็นสาเหตุนึงที่เลือกสอบคอม แต่เวลาลอง mock up tests เราเขียนลงกระดาษนะ ก็ไม่เคยเขียนทันเลยอะค่ะ 555555 ส่วนเทคนิคนั้น... เพื่อนของมี่ (พิมพ์) แนะนำมา 2 ข้อนะคะ

1. ใช้เทคนิคการแบ่งเวลา 20:40 เพราะเวลาในการเขียนคือ 60 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง 20 นาทีสำหรับ Task 1 เขียนขั้นต่ำ 150 คำ และ 40 นาทีสำหรับ Task 2 เขียนขั้นต่ำ 250 คำ พิมพ์บอกว่าถ้าเขียน Task 1 ไม่ทันให้ทิ้งไปเลยค่ะแล้วไปทำ Task 2 ซึ่งคะแนนเยอะกว่า (แบ่ง Task 1 เป็นคะแนนเพียง 1/3 และ Task 2 เป็นคะแนน 2/3 ค่ะ)

2. ใช้วิธีการร่าง Outline ก่อนระหว่าง Advantage และ Disadvantage ค่ะ ขอแค่อย่างละ 1 ข้อพอนะคะ ห้ามคิดนานกว่า 3 นาทีค่ะ เพื่อที่เราจะได้ไม่ off-topic และเสียคะแนนค่ะ

- Speaking 👄 : อันนี้ต่อให้ฝึกเองได้ก็ไม่ค่อยแนะนำอ่ะ เพราะว่ามันไม่มีคนคอยให้ Feedback เราว่าเป็นยังไง ควรปรับปรุงตรงไหนบ้าง ติดเรื่องอะไร แต่วิธีที่แนะนำก็คือให้ลองหา Topic ในเว็บดู หาในเว็บที่เราแนบไว้ให้ตรง Listening ก็ได้ เราก็เอามาจากตรงนั้น พอได้คะถามแล้วก็ลองตอบคำถามโดยการอัดเสียงตัวเองในโทรศัพท์ว่าเราพอใจกับคำตอบมั้ย pronunciation เป๊ะมั้ย และเราได้ลอง Demo Test ของ SI-UK ด้วยเลยได้ประเมินคะแนน 6.0 แต่พอ extra-speaking กับ Teacher Nick ที่ WIN เขาประเมินคะแนนให้เราเป็น 6.5 จ้า

สำหรับคนที่อยากเพิ่มคลังศัพท์ให้กับตัวเอง : ไปที่เว็บนี้ มันดีมากๆเราชอบมาก เราก็ใช้มาเพิ่มคลังศัพท์เหมือนกัน

 

มาเริ่มกันต่อที่ "การสมัครสอบ IELTS" ...

ปล. เตือนแล้วนะว่าไม่ใช่กระทู้ SR เจออะไรมาเขียนตามความจริง น่ารักบอกน่ารักเด้อ ไม่โอคือไม่โอ

การสอบ IELTS แบบ Computer-delivered กับ IDP Thailand

เกริ่นก่อนนะคะ ว่าต่อให้ต้องสอบ IELTS อีกกี่ครั้งมี่ก็จะสอบกับ IDP Thailand แน่นอนค่ะ เพราะประทับใจในวิธีการดูแลลูกค้าของ IDP ค่ะ ดูแลเหมือนเราเป็นครอบครัวหรือพี่น้องกันเลยทีเดียว เราว่านี่คือจุดขายของ IDP ค่ะ อาจจะไม่ใช่องค์กรใหญ่มากอะไรเบอร์นั้น แต่เวลาที่มีปัญหาหรือมีคำถามอะไรแล้วไลน์ไป ทางพี่ๆเจ้าหน้าที่ตอบกลับในความเร็ว 0.01 วินาทีเลยค่ะ 5555 (นี่ก็เวอร์ไป๊!!) แต่พี่เขาตอบเร็วจริงๆนะ สงสัยเรื่อง IELTS เรื่องงานเรียนต่อต่างประเทศส่งไปเลยจ้า เขาตอบหมดแหละ

ตัวมี่เองลงสอบไปช่วงวันที่ 28 เมษายน 2019 เป็นการสอบในวันอาทิตย์นะคะ มี่เลือกสอบแบบข้อเขียน ก่อน (Written Exam)ในช่วง 9.00-11.45 น. ค่ะและได้คิวสอบพูด (Speaking) 14.40-15.00 น.โดยเป็นการสมัครแบบ Online ซึ่งจ่ายเงินค่าสอบผ่านบัตรเครดิตของป๊า โดยค่าสอบคอมจะอยู่ที่ 7,500 บาท และค่าสอบแบบกระดาษคือ 6,900 บาท ราคาต่างกันที่ 600 บาทนะคะ จะมาพูดถึงความพิเศษแบบการสอบแบบคอมพิวเตอร์นะคะ

มาพูดถึง Fact จริงๆของ Computer-delivered ดีกว่าค่ะ

- รู้ผลสอบภายใน 5-7 วันทำการ : ถ้าสำหรับการสอบแบบ Academic เพื่อใช้ในการเรียนต่อและ General Training สำหรับการฝึกอบรมหรือ Work and Holiday ที่ต่างประเทศ (ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์) คำตอบคือใช่ค่ะ ความจริงที่ถามทาง IDP มาเขาบอกว่ายังไง 5 วันก็ออกแน่นอนค่ะ เช่น ถ้ามี่สอบ 28 เมษายน มี่ก็ได้ผลภายในวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2019 ค่ะ และเท่าที่เคยอ่านมาบางคน 3-4 วันผลคะแนนออกแล้วก็มีค่ะ แต่.. สำหรับคนที่สอบแบบ UKVI เพื่อใช้ยื่นวีซ่าของประเทศอังกฤษและสหราชอาณาจักร ต่อให้สอบคอมก็รอผลออก 13 วันเหมือน Paper-delivered นะคะ

- วันและเวลาสอบเพิ่มขึ้น : อันนี้จริงแท้แน่นอน 100% ค่ะ เพราะว่าจมีสอบทั้งวันธรรมดา, วันเสาร์และวันอาทิตย์ด้วยค่ะ อย่างที่ตัวมี่เองเลือกสอบวันอาทิตย์ค่ะ แต่เพื่อความแน่ใจควรจะไปเช็คทางเว็บไซต์โดยตรงนะคะ (ที่นี่) อีกอย่างที่พิเศษคือ เราสามารถเลือกเวลาสอบข้อเขียนหรือสอบพูดได้เองด้วยค่ะ เช่น เรารู้สึกกระปี้กระเปร่าตอนเช้า เลยอยากสอบคอมตอนเช้า (เวลาไม่ฟิกซ์แต่ก่อน 13.00 น.) ก่อนแล้วค่อยสอบข้อเขียนตอนบ่าย 14.00 น. ก็ทำได้เช่นกันนะคะ แต่ของมี่คือมี่ลงสอบข้อเขียนรอบเช้า 9.00 น. แล้วสอบพูดตอน 14.40 น. เพื่อย้อมใจให้หายเครียดก่อนค่อยมาไฟต์ต่อค่ะ เวลาสอบพูดก็เลือกได้นะคะ แต่ด้วยความที่มี่ลงทะเบียนช้ากว่าคนอื่นเลยเหลือเวลานี้เวลาเดียว

เตือน : ถึงแม้สอบ 9.00 น. แต่พี่ๆ IDP แนะนำให้ไปถึงช้าสุดคือ 8.30 น. นะจ๊ะ

- สอบ Speaking ตัวต่อตัว : เป็นสิ่งที่ดีมากค่ะ เพราะว่าเราสอบกับคอมพิวเตอร์แค่เพียง 3 พาร์ทเท่านั้นนะ คือ Listening, Reading, Writing ส่วนการสอบพูดยังคงสอบกับเจ้าของภาษาตัวเป็นๆหรือ Examiner อยู่นั่นเอง เหมือนของคนที่สอบ Paper-delivered แน่นอนค่ะ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจาก TOEFL iBT อย่างชัดเจน เพราะ TOEFL จะเป็นการสอบพูดกับคอมพิวเตอร์เลย เพราะ IELTS เชื่อว่าการสอบพูดกับคนเป็นๆจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าสอบกับคอมฯแน่นอนค่ะ

- สอบครบ วันเดียวจบ : ใช่แล้วค่ะ สอบจบภายในวันเดียว ไม่สามารถแยกวันสอบพูดและข้อเขียนได้แบบ Paper-delivered นะคะ แต่ข้อเสียของแบบนี้คือ... สำหรับคนที่ชอบสอบพูดแยกวันเพื่อลดความเครียดหรือความใจเสียหลังจากที่เราทำ Written Exam เสร็จ เราจะรู้สึกเหนื่อย(ใจ)มากอย่างบอกไม่ถูก มีพี่เคยบอกมาว่าถ้าเราเป็นคนใจเสียง่ายแนะนำให้สอบแบบแยกวันดีกว่า เพราะว่าวันที่สอบพูดเราก็เต็มที่กับ Speaking อย่างเดียวและเข้าห้องไปสอบพูดด้วยความสดใสไร้กังวลหรือความพวงจากข้อเขียนเลยค่ะ ข้อนี้มี่มองว่ามันดีกับคนที่ไม่อยากเดินทางมาสอบหลายรอบมากกว่า ไม่สะดวกอะไรงี้ หรือแบบ.. เอาวะ เครียดก็เครียดวันเดียวให้ตาย ละหลังจากวันนี้ I'm finally set free 5555 (ส่งสายตาแบบ Captain Marvel ตอนคุยกับ Supreme Intelligence ครั้งสุดท้าย อิอิอิ เป็นติ่งบรีค่ะ ทำใจนะคะ)

ถ้าถามมี่ว่า "ทำไมถึงมาสอบคอมพิวเตอร์" มี่จะตอบว่าเพราะ.. มี่เป็นคนพิมพ์เร็วกว่าเขียนในด้านของ Writing ค่ะ และในการสอบคอมพี่เขาก็จะแจกกระดาษมาให้เขียน Outline ได้ซึ่ง Outline สำคัญกับมี่มากค่ะ เพราะเป็นเทคนิคที่ Teacher Reina สอนมาด้วย และมันก็ใช้ได้ผลจริงค่ะ แถมสอบคอมมันมี Word Count ด้วยทำให้ไม่ต้องนั่งนับคำเอาเองค่ะ ส่วน Listening มี่ก็ลองทำแบบฝึกหัดที่พิมพ์ในคอมได้เลย (จะบอกเว็บตอนที่เตรียมตัวสอบนะคะ มีแน่นอนค่ะ) คือฟังไปก็พิมพ์ไปเหมือนที่เราเขียนใน Booklet อะค่ะ แต่ข้อเสียคือเราไม่มีเวลา Transfer คำตอบลงกระดาษแล้วนะคะ มีเวลาเช็คทั้งหมดแค่ 2 นาทีเท่านั้นค่ะ และ Reading ที่อ่านรีวิวมาและถามทาง IDP เองคือเราสามารถใช้ Highlighter สีเหลืองขีดได้เหมือนตอนที่เราอ่านบนกระดาษและใช้ดินสอขีดๆเขียนๆเลยค่ะ ขีดได้ทั้งบน Passage และคำถามค่ะ (เอามาขีด Keyword, Synonym) อันนี้เราสามารถใช้ Notepad ได้ด้วย ปรับสีจอได้ ขนาดตัวหนังสือได้ นอกจากนี้ Passage จะอยู่ฝั่งซ้ายมือและคำถามอยู่ฝั่งขวามือพร้อม Scroll Bar ทำให้เราไม่ต้องคอยพลิกกระดาษไปๆมาๆดุจแม่ค้าหมูปิ้งมือฉมัง....

 

Video แนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการสอบ Computer-delivered และคำตอบ :

- แนะนำการสอบแบบคอมพิวเตอร์ (แบบละเอียด) : ที่นี่ - แนะนำให้รู้จักกับการสอบแบบคอมพิวเตอร์ (แบบสั้น) : ที่นี่

- ตอน Listening สามารถหยุดได้มั้ย ? : คำตอบคือไม่ได้ค่ะ จะเล่นยาวๆแค่รอบเดียวเท่านั้นเหมือนตอนสอบ Paper ค่ะ (ที่นี่)

- ตอน Listening สามารถเลื่อนกลับไปที่หน้าก่อนๆเพื่อเช็คคำตอบได้มั้ย ? : ได้ค่ะ จะมีตัว Review answers อยู่ด้านล่างของหน้าจอทั้ง 40 ข้อ สามารถคลิกไปที่คำตอบแต่ละข้อได้เลยค่ะ จะมีเวลา 30 วิก่อนพูดแต่ละ section ให้อ่านโจทย์และ 30 วิให้เช็คคำตอบของ Section นั้น และ 2 นาทีเพื่อเช็คคำตอบทั้งหมด (ที่นี่)

- ห้องสอบสำหรับการสอบกับคอมพิวเตอร์เป็นอย่างไร ? : มี Headphones คุณภาพดีเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของคุณโดยตรง, ห้องจะสงบสุข (เงียบๆ) และจะมี Partition (ฉากกั้น) ทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนตัวขึ้นไปอีกค่ะ (ที่นี่)

- Handy Tips ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสอบ Reading บนคอมพิวเตอร์ : ข้อความและคำตอบจะอยู่ข้างๆกันเป็น 2 เลย์เอาท์ ทำให้เช็ค Paragraphs ต่างๆง่ายขึ้นไปอีก, สามารถใช้เวลาทำข้อสอบได้มากขึ้นและใช้เวลาน้อยลงในการย้ายคำตอบและคำถาม (ที่นี่)

- จะสามารถไฮไลต์หรือจดโน๊ตได้อย่างไร ? : ง่ายๆเหมือนในการทำที่ Internet Browser เลยค่ะ (ลากในเน็ตเป็นก็ลากในนี้เป็นอ่ะ) จากนั้นก็ใช้เมาส์เพื่อเลือกข้อความจากนั้นก็คลิกขวาเพื่อไฮไลต์หรือเขียนโน๊ต (ในคลิปมีคำถามนี้กับข้างล่าง ลิงก์วิดีโออยู่คำถามปรับฟอนต์จ้า)

- สามารถปรับขนาดฟอนต์ตัวหนังสือได้มั้ย ? : ได้ โดยการคลิก Settings ด้านขวาบนของหน้าจอและเลือกขนาดที่คุณต้องการ และสามรถเลือกสีหรือ Screen Solution ได้ด้วยนะ (ที่นี่)

- Handy Tips ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสอบ Writing บนคอมพิวเตอร์ : ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเขียนอีกต่อไป เพราะว่าการพิมพ์นั้นจะชัดเจนและอ่านง่าย, หน้าจอจะแสดงจำนวนคำว่าเราพิมพ์ไปกี่คำแล้วโดยอัตโนมัติ และสามารถ Copy (Ctrl/Control C) และ Paste (Ctrl/Control V) บนคีย์บอร์ดเพื่อย้ายคำตอบของคุณ (แบบอยากย้ายประโยคนี้ไปตรงนี้) ลดความผิดพลาดได้มากทีเดียว อ้อ... ไม่มี auto correct นะจ๊ะ (ที่นี่)

- อุปกรณ์อย่าง Spellcheck และ Dictionaries ? : ไม่จ้า ทั้ง 2 อย่างจะไม่สามารถใช้ได้ที่ระบบจ้า (ก็สอบอ่ะเนอะ ใช้ได้จะเรียกสอบมั้ยเนี่ย) แต่.. มีตัวนับจำนวนคำนะ ทำให้เราสามารถโฟกัสที่การเขียนได้มากกว่า ไม่ต้องมาคอยนับคำว่าเห้ย ครบ 150 คำยัง ครบ 250 คำยังฟะ (ที่นี่)

- เราสามารถสอบทั้ง 4 skills ให้จบได้ภายในวันเดียวเลยมั้ย ? : เราจะสอบ Listening, Reading, Writing บนคอมพิวเตอร์ (one sitting) และการสอบ Speaking ก็จะสอบพูดในวันเดียวกันเป็นแบบตัวต่อตัวกับ Examiner ไม่ได้สอบกับคอมแบบ TOEFL iBT แน่นอน ไม่ต้องกังวล (ที่นี่)

- อะไรคือข้อดีของการสอบ IELTS บนคอมพิวเตอร์ ? : ได้ผลสอบแน่นอนใน 5-7 วันทำการ, ถ้าคุณชอบพิมพ์มากกว่าเขียน ไม่ต้องห่วงเรื่องลายมือของคุณ IELTS แบบคอมเนี่ยแหละเหมาะกับคุณ, การสอบแบบนี้มีทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแบบคอมหรือกระดาษเราก็ใช้มาตราฐานที่สูงเหมือนกันทั้งคู่ (ที่นี่)

- ความคิดเห็นของคนที่สอบ Academic บนคอมพิวเตอร์ : ที่นี่ - ลักษณะการสอบ Listening : ที่นี่ - ลักษณะการสอบ Reading : ที่นี่ - ลักษระการสอบ Writing : ที่นี่ * สำหรับคนที่อยากได้ข้อมูลทั้งหมดว่าแต่ละพาร์ทสอบอะไรบ้าง ให้ไปที่นี่เลยจ้า เขาเขียนไว้ละเอียดแล้ว

 

รีวิวการสอบ IELTS Computer-delivered กับ IDP

สำหรับมี่เองคือตอนแรกจะนั่ง MRT มาลงที่สีลมและเดินเอา แต่พอดีว่าป๊าขับรถมาส่งที่หน้าตึก CP Tower เลยตั้งแต่ 7.30 น. มี่เลยเข้าไปนั่งกินแมคโดนัลด์ตอนเช้าเพื่อเพิ่มพลังก่อนเข้าห้องสอบ เพราะว่าทาง IDP จะให้ลงทะเบียนสอบ IELTS ตอน 8.30 น.ค่ะ เรายังมีเวลาเหลือเยอะอยู่ 5555

เบอเกอร์สนนราคาไป 59 บาทและช็อคโกแลตครีมปั่นมีโปรโมชั่นไซส์ใหญ่อยู่ที่ 89 บาทเท่านั้นเอง พอกินเสร็จเราก็ทวน Pattern ที่จะใช้เขียน Writing และ Techniques ที่เพื่อนสอนเพิ่มเติมในการทำข้อสอบ จากนั้นก็นึกได้ว่าเดินไปเซเว่นไปซื้อน้ำเปล่าดีกว่า ที่ไม่ซื้อที่แมคเพราะเราอยากกินมิเนเร่และจะเดินไปซื้อทิชชู่ด้วย ก็เลยเดินไปตึก United (แถวนี้ย่านเรา เราเดินเป็น ฮาาาา) เซเว่นสาขานี้มีตู้ทำพวกโค้กวุ้น สไปร์ทวุ้นด้วยนะ แต่ น้ำที่เอาเข้าห้องสอบได้มีแต่น้ำเปล่าในขวดใสเท่านั้นนะจ๊ะ ถ้าเป็นน้ำสีต่อให้อยู่ในขวดใสเขาก็ไม่ให้เข้าห้องสอบจ้า

ตามในภาพหลักภาพแรกที่มีทั้งหมด 6 ช่องคือพอเราเข้าตึก CP มาให้เราขึ้นบันไดเลื่อนมาที่ชั้น 4 โดยไม่ต้องไปต่อแถวแลกบัตรที่ประชาสัมพันธ์นะคะ เพราะมันไม่ได้อยู่ในส่วนของบริษัทค่ะ พอเราขึ้นมาถึงชั้น 4 เราจะเจอหน้าตาห้อง IDP แบบนี้ค่ะ คือขึ้นมาละเจอเลยอะค่ะ ไม่ต้องเดินเข้าไปฝั่งในสุดนะคะ เพราะอันนั้นเป็นศูนย์ไว้ Speaking, รับผลสอบและปรึกษาการศึกษาต่อต่างประเทศค่ะ

ใครที่มาเร็วไปหน่อยแบบเราให้เข้ามาที่สำนักงานได้เลยนะคะ จะมีห้องให้นั่งรอลงทะเบียนแบบในภาพค่ะ จะมีเก้าอี้ทั้งหมด 16 ตัวและมีทีวีแบบในภาพที่เปิดวิดีโอ IELTS Computer-delivered Tutorial ค่ะ คือเขาจะอธิบายว่าคอมใช้ยังไง, ข้อสอบมีส่วนประกอบยังไงบ้างครบทั้ง 3 พาร์ทคือ Listening, Reading, Writing เลยค่ะ

เราก็นั่งรอไปเรื่อยๆจนกว่าพี่เขาจะเปิดลงทะเบียนแหละค่ะ แต่แนะนำว่าไม่ควรมาช้าเกิน 8.35 น.

เพราะว่าของเราคือได้เริ่มลงทะเบียนจริงตอนประมาณ 8.40 น.และเราลงทะเบียนคนสุดท้าย (เขาเรียกตามชื่อเราแหละ)

คือตอนแรกนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่มีน้ำเปล่าแกะฉลากให้ Test Takers หยิบไปได้ คนไหนที่มาเร็วๆอยากเพิ่มน้ำตาลในเลือดก็หยิบโค้กไปได้เลยจ้า เราเห็นคนจีนที่มาสอบที่นี่เขาเอาน้ำชาใส่ขวดพลาสติกมา แต่พี่สต๊าฟไม่ให้เอาเข้าแล้วพี่สต๊าฟก็หยิบน้ำเปล่าจากในตู้ให้เอาเข้าห้องสอบแทนจ้า และก็มีพี่อีกคนเอาน้ำเปล่ามาแต่ใส่กระติกพลาสติกสีเขียว พี่เขาก็ไม่ให้เอาเข้าน้า ต้องขวดใสแกะฉลากออกแบบในภาพเท่านั้น (Transparent Bottle Only)

สิ่งที่เอาเข้าห้องสอบได้มีแค่ :

1. Passport เปล่าๆไม่มี passport case หรือถ้าใครลงด้วยบัตรประชาชนก็บัตรเท่านั้น ห้ามเอาซองเข้า

2. น้ำเปล่าในขวดใส แกะฉลากขวดออก

3. Tag Number กระเป๋าของเราตอนที่ฝากกระเป๋าหรือของไว้ตรง Locker หน้าห้องสอบ

ของพวกนาฬิกา โทรศัพท์ทิ้งไว้ในกระเป๋าได้เลย เพราะเราสอบคอมจะมีนาฬิกานับถอยหลังอยู่แล้ว

อย่างที่บอกคือ... มี่ได้เข้าห้องคนสุดท้ายแบบในห้องอ่ะ ตอนแรกนึกว่าแอร์จะเย็นเหมือนตอนสอบกระดาษที่โรงแรมมณเฑียร ที่ไหนได้ โคตรรร้อน เหมือนไม่ได้เปิดแอร์อ่ะ 55555 ตอนแรกลืมเอาเสื้อเข้าห้องสอบนี่ก็กลัวว่าจะหนาว ที่ไหน...ได้ร้อนมากๆๆๆ แต่แนะนำเอาเสื้อมาเผื่อก็ดี หนาวจะได้เอามาใส่

เข้าไปในห้องสอบคอมมีทางเข้าออกแค่ 1 ทางเท่านั้น พี่เขาจะเช็คตัวเราหมดเลยก่อนเข้า ทั้งให้ล้วงกระเป๋ากางเกง ขากางเกง ละพี่เขาก็จะพาเราเข้าไปนั่งที่โต๊ะคอม

กระดาษสีเหลืองแบบนี้จะอยู่ที่เสียบพาสปอร์ตเรา จะเป็นข้อมูลของตัวเราทั้งชื่อ, นามสกุล, เลขของผู้สมัคร, วันที่สอบพูด, เวลาที่สอบพูด และเว็บไซต์สำหรับการ Preview Results หรือเช็คผลสอบด้วย

 

All About Computer 💻

-โต๊ะส่วนตัวมากกก เป็นโต๊ะไม้ใหญ่หน่อย มี partition 3 ด้านคือด้านหน้าเราและด้านซ้ายขวา เราว่าดีมากๆเลยแหละ เหมือนเราจะได้ focus กับตัวเอง มีสมาธิมากขึ้น เก้าอี้สบายดีเป็นเก้าอี้มีพนักปรับความสูงได้ คอมพิวเตอร์เป็นแบบ notebook ของ HP มีดินสอและยางลบให้สอบเสร็จเก็บกลับบ้านได้

- คอมใช้ระบบ connection plus ในการออกแบบข้อสอบ จะมีแป้นพิมพ์บนคอมอยู่แล้ว แถม mouse ไว้ด้วย เผื่อคนใช้ notepad ไม่ถนัด คอมจะเปิดเป็นหน้าจอเพื่อ logon ระบบคอมใช้ในการสอบ

- พอ test takers ทุกคนนั่งแล้วเขาจะเดินเช็คดูและแจกกระดาษ logon paper จะมีชื่อนามสกุลเรา เลขประจำตัว ใช้ลขหลักฐานยืนยันตัวตนและ passwords สำหรับการล็อคออนเพื่อสอบ (พี่เขาเรียกล็อคออนเลย บนกระดาษก็เขียน logon ไม่ใช่ล็อคอิน)

ปล. ระวังตอนกดรหัสให้ดี ถ้าตัวไหนตัวเล็กก็พิมพ์เล็ก ถ้าตัวไหนพิมพ์ใหญ่ก็กด caps lock

สำหรับกระดาษใบแรกจะมีข้อมูลเราและมีพาสหรือ candidate number เพื่อเข้าสู่ระบบของ 2 พาร์ทคือ listening และ reading

- พอล็อคเข้าไปเสร็จปุ๊ปเราต้องรอคนที่คุมคอมหลักด้วย ระบบจะขึ้นหน้าโหลดอย่างเดียว ถ้าผู้คุมคอมหลักยังไม่เปิดข้อสอบก็เปิดไม่ได้ หลังจากนั้นจะมี instructions ให้เราอ่านก่อน ปุ่มล่างสุดคือ start the test ห้ามกดจนกว่าเขาจะสั่ง ไม่งั้นถือว่าทุจริตทันที

📚📚📚📚📚📚📚📚📚📚📚📚

 

สำหรับก่อนการทำข้อสอบพาร์ทต่างๆ :

- Listening: รอเขาพูดให้ใส่หูฟังก็ค่อยใส่จ้า หูฟังไม่ใช่แบบ wireless ถ้าเขายังไม่พูดละเราใส่จะมีพี่สต๊าฟเดินมาบอกให้ถอดออก มี่เลือกสี background แบบ blue on white ใช้ไซส์ large

- Reading: หลังจบ listening เขาจะให้เราเข้าสู่ระบบใหม่ด้วยรหัสอันใหม่ ระบบดีมากคือฝั่งซ้ายเป็น passages ปรับขนาดตัวหนังสือได้ สีตัวหนังสือได้ มี่เลือกแบบ blue on white ตัวหนังสือแบบ large

- Writing: เขาจะเดินเก็บกระดาษ logon ของ listening กับ reading ละค่อยแจกกระดาษแผ่นใหม่ ถ้าใครจะจดหรือเขียน outline ให้เขียนที่ด้านหลังของกระดาษได้เลยนะ แนะนำให้ใช้หลักการ 20:40 คือถ้า task 1 ไม่ทันก็ทิ้งไปเลยไปทำ task 2 แทนเพราะคะแนนเยอะกว่า แต่รอบนี้มี่แบ่ง 25:35 ซึ่งก็ทันนะ เขียนเสร็จเหลือ 5 นาทีไว้เช็คพอดี เพราะว่ามันตัดเรื่องเสียเวลานับคำไง มันมี word count ให้ข้างล่างเลยไม่ต้องคอยนั่งนับ

- เรื่องเวลาคือจะมีตัวนับเวลาให้เราอยู่แล้วว่าเหลือกี่นาที ถ้าเหลือ 5 นาทีมันจะขึ้นสีแดงให้

พอสอบเร็จออกจากห้องมาก็ 11.50 น. ให้ไปกินข้าวเพราะมี่สอบพูด 14.40 น. แต่ถ้าใครสอบเที่ยงก็รอสอบได้เลย ไม่ต้องกลัวจ้า สอบเสร็จค่อยไปกินข้าว

📚📚📚📚📚📚📚📚📚📚📚📚

 

Review ข้อสอบ IELTS Computer-delivered จากมี่

Listening 🎧 :

1. The Horseback Riding Centre: อันนี้ก็ง่ายๆ เบสิคสุด ของเราคือ 6 ข้อแรกจะให้ฟังว่าโปรแกรมขี่ม้าราคาเท่าไหร่บ้าง เกิดในช่วงเวลาหรือฤดูไหน (*ฤดูห้ามลืมขึ้นด้วยตัวใหญ่เด็ดขาด!!!) ในคอร์สนั้นจะสอนอะไรบ้าง ส่วนมากจะเป็นศัพท์เบสิคๆ เช่น Summer, nutrition, soccer อะไรงี้ ส่วนข้อ 7-10 จะเป็นการฟังว่าในวันพุธมีใครมา คำตอบคือ special guest, มี facility อะไรบ้าง เช่น swimming เป็นต้น พาร์ทนี้สำเนียงการพูดฟังง่ายมาก เดาว่าเป็นสำเนียงอเมริกันไม่ก็ ESL ไม่ออกเสียงแบบบริติชเลย

2. This week's fruit, vegetable and flower: อันนี้จะเริ่มยากมานิดนึง คนพูดอะ ตอนแรกก็พูดอยู่หรอกว่าเป็น corn แต่พอหลังจากนั้นที่เป็น tomatoes ดันบรรยายสรรพคุณมาก่อนละค่อยบอกว่าเป็น tomatoes speed การพูกพาร์ทนี้จะค่อนข้างเร็วกว่าพาร์ทแรก และใช้สำเนียง Aussie พาร์ทนี้ 7 ข้อเป็น drag and drop และ 3 ข้อสุดท้ายเกี่ยวกับดอกไม้ จะให้ฟังว่าราคาดอกไม้ 3 ช่อราคาเท่าไหร่ ได้ยิน twelve ก็ใส่ 12 ลงไป เพราะข้างหน้ามีสกุลเงินดอลลาร์แล้ว

3. Female Characters: อันนี้ก็เป็น drag and drop 4 ข้อแรก จะมีชื่อผู้หญิงแต่ละคนมา มีคน 2 คนคุยกัน เป็นนักศึกษากับ prof. ที่จะยกตัวอย่างชื่อผู้หญิงมา แล้วก็พูดถึง character แต่ละคนว่าเป็นยังไง แนะนำให้ฟังให้จบก่อนค่อยตอบ เพราะ 2 คนนี้ บางทีความคิดเห็นไม่ตรงกันนะจ๊ะ

4. 3 Theories of Intelligence: อันนี้จะเน้นแนว academic มาก แต่เราว่ารอบนี้เราได้ไม่ค่อยยากนะ ศัพท์ง่ายหน่อย เช่น parents, evidence, song, twins, family อะไรแบบนี้

รอบนี้โชคดีมาก เพราะทั้ง 4 sections ถ้าอันไหนเป็นพิมพ์ตอบจะเป็น not more than one-word หมดเลย

Reading 📖 :

พาร์ทนี้ขอลาไปสู่ขิตในวันที่ดือ มันยากมาก ต่อให้มี highlighter ก็ยังแทบช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่ก็พยายามตอบสุดความสามารถแล้วอ่ะนะ ตอบก็ไม่ครบอีก ปลงจ้า บ๊ายบายคะแนน

ปกติ Reading มีทั้งหมด 3 passages อยู่แล้ว:

1. เกี่ยวกับ Ragworms ใน North Atlantic: จะมีอาจารย์ทำวิจัยกัน 2 คนจำชื่อไม่ได้ แต่เป็น prof. ที่ University of California, Santa Barbara อันนี้คืออ่านนานมาก 20 เหมือนจะง่ายนะ แต่ยากชิบบบบ นี่แบบ 20 นาทีทำได้แค่ 7 ข้ออ่ะ เพราะ 6 ข้อที่เหลือมันคือเติมคำตอบ เลยเว้นไปทำ passage 2 ก่อน

2. Peter Beck เกี่ยวกับบริษัทเอกชนที่จะจัดตั้งองค์กรอวกาศในนิวซีแลนด์: เรื่องนี้เราอ่านค่อนข้างเร็ว เพราะเป็นคนชอบอ่านข่าวอวกาศของ NASA, European Space Agency, ROSCOSMOS อะไรแบบนี้อยู่แล้ว passage นี้เลยง่ายขึ้นหน่อย ใช้เวลาน้อยลง มี 3 ข้อแบบเติมคำให้พิมพ์ not more than 1-word และโชคดีมากที่คำตอบทั้งหมดอยู่ใน last paragraph หมดเลย ทำให้หาคำตอบได้เร็วขึ้นมาก

3. Images and Places เกี่ยวกับการถ่ายรูปภาพและทฤษฎีหรือความคิดเห็นของแต่ละคน: มีพวก Yamashita จำได้ไม่หมดอ่ะ จะมีประโยคมาถามว่าความคิดเห็นนี้เป็นของช่างภาพคนไหน มีการถ่ายภาพแบบ VEP มีถาม choices 2 ข้อ ข้อแรกคือความคิดเห็นของ Yamashita กับ local people ที่ถ่ายรูป surroundings ตัวเอง มีความคิดเห็นอย่างไร ข้อ 2 ถามเรื่องการถ่ายรูปนั้นมีความคิดเห็นที่ตรงกับความจริงอย่างไร

สุดท้าย เวลาหมด เหลือเวลา 4 นาทีมาทำ passage 1 ก็ตอบไม่ครบอยู่ดีขาดคำตอบไป 3 ข้อ เราเสียดายมากกกกกกก แต่ก็เออ.. ทำใจคะแนนพาร์ทนี้ไว้แล้วแหละ

Writing 📝 :

1. Task 1 เกี่ยวกับ "unemployment problem และ number of people leaving Ireland ในปี 1988 ถึง 2008" ให้เปรียบเทียบกัน: พาร์ทนี้มี่เขียนไป 215 คำ ใช้เวลา 25 นาที เขียนแบบที่ Teacher Reina สอนก่อนที่ The supplied pictorial illustrates ... ละค่อยเขียน as is observed ภาพรวมทั้งหมด และค่อยมาอธิบายกราฟของทั้ง 2 อัน แล้วก็เปรียบเทียบกันตามคำสั่งที่สั่งมา

2. Task 2 ได้เกี่ยวกับ "ทำไมคนยังให้ความสำคัญกับอาชีพเกี่ยวกับศิลปะอย่าง musicians, writers, painters ทั้งที่ยุคนี้เป็นยุคของ advanced technology ทั้งด้าน science, technology" แต่ไม่ได้ถามว่า do you agree or disagree นะ ถามแค่ว่า "คิดอย่างไรกับ topic นี้ และคุณคิดว่า the arts, science, technology อันไหนสำคัญกว่ากัน": นี่ก็อธิบายไปว่าไม่มีอะไรสำคัญกว่าอะไรเลย เพราะศิลปะมันเกี่ยวกับคุณค่าทางใจ ทางประวัติศาสตร์ มันสามารถ reflect ถึง pop cultures, civilizations ในยุคนั้นๆได้ และเราสามารถนำมาปรับให้เข้ากันได้ด้วย เช่น (ยกตัวอย่าง) ว่ามี่ก็ทำบล็อคของตัวเองอยู่ ถ้าอยากแต่งเรื่องหรือแชร์ประสบการณ์ต่างๆเราสามารถเล่าได้ผ่านตัวหนังสือในคอมพิวเตอร์นะ จากนี้ก็ยกตัวอย่างคนที่เป็น Poet Online อะไรงี้ว่าเราสามารถนำมันมาผสมผสานกันได้ เขียนไปทั้งหมด 328 คำจ้า ใช้เวลา 30 นาทีเท่านั้น เร็วจนแปลกใจเหมือนกันนะ

แบบ.. จำได้ใช่ปะที่เราบอกว่าเขียนยังไงก็เขียนไม่เคยทันอะ แต่รอบนี้คือเราพิมพ์ทันแล้ว และก็เยอะแบบผ่านคำว่าเส้นตายไปเยอะอ่ะ Task 1 เกินไป 65 คำ และ Task 2 เกินไป 78 คำ คือตอนทำ writing บนคอมเราสบายใจมากๆ เพราะเราไม่ต้องมานั่งนับคำเอง เหมือนเราได้ตัดปัญหาความกังวลเรื่องเขียนขาด/เขียนเกินไปแล้วได้จดจ่อกับสกิลการเขียนของตัวเราเองเยอะขึ้นมากๆ จนเราเหลือเวลา 5 นาทีเพื่อที่จะตรวจทานคำตอบและตัวสะกดต่างๆด้วย

พอจบการสอบ 3 ส่วนแรกเราก็ลงไปกินข้าวแล้วขึ้นมาอีก Office นึงที่ชั้นเดิมเพื่อรายงานตัวรอสอบพูด

เราขึ้นมาที่นี่ตอน 13.20 น.เพื่อที่จะทวนคำศัพท์ในการ Speaking ทั้งหมดก่อน ทั้งที่เราสอบตอน 14.40 น.ด้วยซ้ำ รีบขึ้นมาเพราะไม่รู้จะไปที่ไหนต่อ มันร้อนอ่ะ 55555 ก็จะมีโต๊ะให้นั่งรอแบบในภาพเลยจ้า แล้วก็จะมีพี่สต๊าฟถามว่า "มาสอบ Speaking หรือเปล่าครับ? สอบแบบคอมหรือกระดาษครับ"

เขียนทบทวนคำศัพท์ไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีพี่สต๊าฟมาจัดคิวเข้าไปสอบพูดจ้า

Speaking 👄 :

เราได้ Examiner ที่เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆหน่อย ท่าทางใจดีนะ

Part 1 จะเป็นคำถามส่วนตัวเกี่ยวกับตัวเราเอง

1. เราได้คำถามว่าเป็นนักเรียนหรือทำงาน : เป็นนักเรียนม.ปลาย อยู่เกรด 12 เรียนที่... แผนการเรียนภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส

2. มาโรงเรียนยังไงบ้าง : ป๊าขับรถมาส่งตอนเช้าทุกวันตรง... เพื่อที่จะให้หาข้าวเช้ากินเอง

3. สนใจจะเปลี่ยนวิธีการเดินทางมั้ย : ถ้าพ่อไม่มาส่งก็จะนั่ง MRT มาโรงเรียนเพราาะว่ามันเร็วดี

จากนั้นก็ถามความคิดเห็นเรื่อง photograph

- ชอบถ่ายรูปท้องฟ้ามั้ย : ชอบถ่ายรูปเพราะว่ามีกล้อง mirrorless ชอบถ่ายท้องฟ้าตอนเช้าและตอนพระอาทิตย์จะตกดิน

- ชอบถ่ายตอนกลางวันหรือกลางคืนมากกว่า : ชอบทั้งคู่เลย แต่มันก็แล้วแต่อารมณ์มากกว่า

- ตอนม.ปลายเคยรู้เรื่องดาวมั้ย : เรียนในวิชาวิทยาศาสตร์ ตอนม.4 ก็สนุกดีนะแต่ไม่ชอบ เพราะไม่น่าสนใจเหมือนวิดีโอของ NASA เช่น Scott Kelly

- คนในยุคปัจจุบันทำไมออกกำลังกายน้อยลง : เพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานอย่างเร่งรีบ อากาศที่ร้อนขึ้นในประเทศทำให้คนไม่อยากออกกำละังกายเพราะเหงื่อมันเยอะเกินไป

-และทำอย่างไรให้คนหันมาออกกำลังกายมากขึ้น : ตอนเลิกงานให้ลองเดินกลับบ้านดู อาจจะลงสถานีที่ไกลกว่าที่ลงประจำไป 1 สถานีแล้วก็เดินกลับบ้านถือเป็นการออกกำลังกาย

- คิดว่าวิชา PE สำคัญมั้ย : ก็สำคัญนะ แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบวิชานี้เพราะว่าที่ไทยมันบังคับเรียน ไม่ได้ให้เราเลือกตามสมัครใจ เช่น บังคับเรียนแฮนด์บอลแต่เราอยากเรียนแบดมินตันมากกว่า เขาเลยถามต่อว่าเลือกไม่ได้เลยหรอ เราก็บอกว่าไม่ได้แถมมีผลต่อ GPA อีกต่างหาก

Part 2 พูดเกี่ยวกับหัวข้อที่ได้มา 2 นาที โดยจะมีกระดาษให้เราร่างสิ่งที่จะพูดก่อนพูด 1 นาที

ได้หัวข้อว่าทำอย่างไรให้ดีกับสุขภาพ ? เลยตอบไปว่าเล่น inline skates กับ figure skating เพราะเมื่อก่อนแม่สะดวกไปส่งที่ลานไอซ์แต่ตอนนี้ไม่สะดวกแล้ว เลยต้องซื้อ inline มาเล่นแทน เหตุผลคือหาลานใกล้กว่าได้, ใช้วิธีเล่นเดียวกันและได้ออกกำลังกายเหมือนกัน และ figure skating ก็เอาไปเล่นที่ outdoor rinks ตอนไปเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศเอา ทีนี้เวลายังเหลือเลยตอบต่อว่าก็ได้ผูกมิตรกับคนที่เขาเล่นไม่เป็น ก็เลยสอนเขาละเล่นกันสนุกๆดี

คำถามเกี่ยวกับพาร์ท 2 :

1. มีเพื่อนที่เล่นไอซ์สเก็ตด้วยกันมั้ย ได้เจอกันบ้างมั้ย ? : ตอบว่าเมื่อก่อนมีเพื่อนที่ลานไอซ์สเก็ตคนนึง ก็เล่นด้วยกัน ซ้อมด้วยกัน แต่ตอนหลังไม่เจอแล้วเพราะไม่ได้ไปลานไอซ์

2. เป็นเพื่อนกับคนที่เพิ่งรู้จักกันเพราะชอบสิ่งที่ชอบเหมือนกันดีหรือเปล่า ? : ก็โอเคนะ ถือว่าได้เพื่อนเพิ่มแถมได้ฝึกการใช้ภาษาที่ 2 อย่างภาษาอังกฤษด้วย

Part 3 Two-way Discussion (อันนี้ไม่เข้าใจอันไหนให้ Examiner อธิบายเพิ่มได้ ไม่หักคะแนน)

1. คิดว่า influencer บนโลกออนไลน์มีผลต่การออกกำลังกายหรือเปล่า ?

ตอบ : คิดว่ามีผล เพราะในเฟสบุ๊กและอินสตราแกรมเราก็มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติคนที่สนใจในเรื่องเดียวกับเรา ที่โพสต์คลิปหรือรูปภาพตอนฝึกซ้อมไว้ และเมื่อเข้าไปดูก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะอยากทำให้ได้แบบเขาบ้าง เหมือนกับเป็นแรงบันดาลใจให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง

ส่วนคำถามที่เหลือจำไม่ได้ละอ่ะ 5555 เพราะเขาชวนคุยเยอะมากจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคำถามจริงหรือชวนคุย ก็ตอบไหลๆไปเรื่อยๆ เราก็มี Pause บ้างแต่ไม่เยอะและไม่ใช่ Long Pause แบบที่สอบไปครั้งแรก มีอาการลิ้นพันกันบ้าง แต่ก็พยายามที่จะทำให้ Fluent ที่สุด

คำแนะนำสำหรับคนที่เคยมีอาการอยู่ๆก็ตัวสั่นหรือไม่มั่นใจแบบเราในการสอบ Speaking :

เราจำความรู้สึกครั้งแรกที่เราสอบได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ เราตัวสั่นมากและพูดไม่คล่องเลย เหมือนเราเสียความมั่นใจจากอาการ Panic หรือ Anxious และเราทำได้ไม่เต็มที่เพราะเรายังไม่รู้ส่วนของคะแนนว่าเราควรทำยังไงบ้าง พอเราได้เข้า extra-speaking กับ Demo test เราเลยพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นที่สุด สูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยความมั่นใจเต็มที่ เราก็พบว่าเวลาพูดเราไม่ควรนั่งกุมมือแต่เราควรเอา Body Language มาช่วยคือเราต้องพูดไปยิ้มไป, ทำมือในการอธิบายไปด้วยแล้วก็นั่งหมุนเก้าอี้ไปมานิดนึง ถ้าเรื่องไหนเป็นความทรงจำดีๆเราก็จะยิ้มบ้าง แต่ถ้าอันไหนตลกเราก็จะขำอะไรงี้แหละ วิธีนี้ทำให้เรา relaxed ในการสอบพูดมาก ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องลิ้นพันกันหน่อยแต่มันก็ไม่แย่เท่าตอนที่เรา long pause ไปใน Speaking test ตอนสอบ IELTS ครั้งแรก ถูกมั้ยล่ะ? ให้ใจเย็นๆและคิดว่าเราไม่ได้สอบเราแค่เข้ามาคุยกับเพื่อนต่างชาติหรือ Teacher คนสนิทของเราก็เพียงเท่านั้นเอง

ความคาดหวังของคะแนนสอบ IELTS รอบที่ 2 :

- Overall : 6.0-6.5 (B2 : Upper-Intermediate)

- Listening: 6.5 or more

- Reading: 5.5 or more

- Writing: 5.5-6.0

- Speaking : 6.0-7.0

ผลคะแนนสอบ IELTS ครั้งที่ 2 ของมี่

ผลสอบจะมีหน้าตาแบบนี้เหมือนเดิม จะไม่ได้มีจั่วหัวว่าเป็น IELTS Computer-delivered เพียงแต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าวันสอบเป็น 28/04/2019 แต่วันที่ผลสอบออกเป็น 02/05/2019 ซึ่งมันเร็วกว่าแบบกระดาษถึง 7 วันกันเลยทีเดียว

🍦 คะแนนสอบ IELTS ของมี่เอง:

- Overall: 6.5 (CEFR B2 Upper-intermediate on the IELTS result *a borderline between B2 Upper-Intermediate and C1 Advanced actually*

- Listening: 6.5 (B2-C1)

- Reading: 6.5 (B2-C1)

- Writing: 5.5 (B2)

- Speaking : 6.5 (B2-C1)

ที่มี่ไปอ่านในวิกิพีเดียมาเรื่อง Band Score ของ IELTS เขาบอกว่าระดับคะแนน 6.5 เป็น Borderline between B2-C1 คือมันอยู่กึ่งๆระหว่าง Upper-Intermediate กับ Advanced นั่นเอง

อธิบายเพิ่มเติม : คืองี้จ้า ตามผลสอบ IELTS จะ consider คะแนน 6.5 เป็น B2 Upper-Intermediate แต่เกณฑ์ระดับภาษาตามโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษในต่างประเทศ 85% ตัดสินว่าเป็นระดับ C1 Advanced แต่พวก Kaplan, EF โรงเรียนสอนภาษาที่มีสาขาทั่วโลก เค้าตัดสินว่าเป็น B2 Upper-Intermediate ส่วน EC เป็น B2+ และ Stafford House ให้เป็น C1 จ้า

ระดับคะแนน IELTS จากระดับ 0 ถึง 9 คู่กับระดับ CEFR Level จากระดับ A1 (ต่ำสุด) ไปที่ระดับ C2 (สูงสุด) พร้อมคะแนนแบบ Borderline หรือคะแนนก้ำกึ่งระหว่าง CEFR Level

สำหรับรอบที่แล้วที่มี่สอบ มี่ได้เลือกว่าจะไปรับผลสอบเองที่ IDP Office แต่รอบนี้มี่ขี้เกียจไปรับ Test Result Form (TRF) เอง เลยเลือกให้พี่เขาส่งไปรษณีย์มาให้ที่บ้านค่ะ โดยการที่จะลงให้มาส่งที่บ้านก็คือตอนก่อนสอบ Speaking ค่ะ เราจะต้องทำการสแกนนิ้วอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย จากนั้นพี่สต๊าฟก็จะถามเราว่า "จะให้ส่งผลสอบให้ที่บ้านหรือว่ามารับผลสอบเองครับ" ถ้าเลือกที่จะมารับเอง เราก็ไม่ต้องเขียนจ่าหน้าซอง EMS ถึงบ้านตัวเอง แต่สามารถมารับเองได้เลยที่ Office ฝั่งศึกษาต่อต่างประเทศตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2019 ตั้งแต่ 13.00 น.เป็นต้นไป แต่ถ้าให้ส่ง EMS ก็เขียนชื่อและนามสกุลเราเป็นภาษาอังกฤษและที่อยู่เป็นภาษาไทยค่ะ และพี่สต๊าฟก็จะเตือนให้เราเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปจ่าหน้าซองเพื่อดูและเช็ค Tracking Number การส่งฟรีและไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆค่ะ นอกจากนี้เรายังสามารถติ๊กได้ด้วยว่าต้องการทราบผลสอบผ่าน SMS มั้ย (แต่รอบที่แล้วที่มี่สอบกระดาษมีก็ติ๊กไว้ว่าส่ง SMS นะแต่ไม่ได้รับ SMS อ่ะ เช็คผลในเว็บเอาอย่างเดียวงี้) เราสามารถเช็คผลสอบได้ที่เว็บไซต์ นี้

ทั้งแบบ Computer-delivered และ Paper-delivered ค่ะ แบบคอมผลสอบจะออกภายใน 5-7 วันและแบบกระดาษจะออกในวันที่ 13 หลังจากการสอบค่ะ

* บริการส่ง SMS มีเพียงเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์ในประเทศไทยเท่านั้น เพราะมี่เห็นมีคนจีนกับคนเกาหลีมาสอบด้วย แต่พวกเขาก็ต้องรอผลสอบส่งผ่านไปรษณีย์เอกชนระหว่างประเทศอย่าง UPS (IDP ไม่ได้ใช้บริการไปรษณีย์ไทยในการส่งผลสอบระหว่างประเทศค่ะ)

ในที่สุด.. ผลสอบ IELTS ของมี่ก็ออกแล้วค่ะ

ความรู้สึกหลังจากเห็นผลสอบคือแบบ... กรี๊ดดดดดดด มากค่ะ แบบว่าดีใจมากที่เราได้ 6.5 สักที เย้ๆ รู้สึกว่าที่เราพยายาม ที่เราเหนื่อยมาคือมันคุ้มแล้วอ่ะ เห็นแล้วหายเหนื่อยเลย แต่ก็เฟลนิดตรงที่คิดว่าจะได้ Listening 7 เท่านั้นเอง ส่วน 3 พาร์ทที่เหลือคือดีจมากๆแล้ว ไม่คิดว่าจะได้ Reading เยอะด้วยซ้ำ เพราะเป็นพาร์ทไม้เบื่อไม้เมามากๆ ส่วน Writing ก็ตามคาดเลย 5.5 แน่นอน 5555

ผลสอบของมี่ออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม 2019 ค่ะ โดยระบบ SMS จะส่งผลสอบที่เร็วกว่ามาให้เราก่อนค่ะ แต่รอบที่แล้วที่มี่สอบ paper มี่ไม่ได้รับ SMS ทั้งๆที่ก็ลงทะเบียนไว้นะคะ ผลจากทาง SMS ส่งมาประมาณตอนเที่ยงกว่าๆค่ะ จากนั้นจะมีอีเมลล์เตือนผลสอบจากพี่สต๊าฟ IDP มาแจ้งว่าผลที่ออกหน้าเว็บไซต์จะออกตอน 16.00 น. ค่ะ ใบผลสอบจริงจะเริ่มออกตอนวันที่ 3 พฤษภาคมค่ะ ถ้าให้ส่งที่บ้านก็จะนำไปส่งตอนบ่ายแต่ถ้ารับเองก็ติดต่อรับด้วยบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตที่ IDP Office ได้เลยค่ะ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคมเลยถึง 5 โมงเย็นหรือ working hours ของเขาค่ะ

พี่สต๊าฟ IDP จะส่งอีเมลล์มาเตือนเรื่องผลสอบ SMS จะได้รับผลสอบเร็วกว่าและบนเว็บจะช้ากว่าประมาณ 4 ชั่วโมงนะคะ สำหรับคนที่จะขอให้บุคคลที่ 3 มารับผลสอบแทน สามารถทำได้โดยการนำสำเนาบัตรประชาชนและจดหมายแสดงความยินยอมให้กับบุคคลนั้นมารับผลสอบแทนเราได้เช่นกันค่ะ

คือผลสอบครั้งแรกของมี่ตอนนั้นที่สอบได้เท่านี้ก็ดีใจนะ แบบว่าพอรับได้ เพราะ Listening เป็น B2 ตอนกลางและพาร์ทอื่นที่ได้ 5.0 มันเป็น Borderline between B1 and B2 หมดเลย ผลคะแนน Overall ออกมาคือ B2 ขั้นแรกเลยอะ (คะแนนมันจะมีทั้งหมด 3 เลเวลคือ 5.5 เป็น B2-1, 6.0 เป็น B2-2 และ 6.5 เป็น B2-3 หรือกึ่ง C1) คือมันก็ไม่แย่หรอกในความคิดเราเรื่อง B2 เพราะเราเรียนโรงเรียนไทยมาตลอด เพียงแต่เราเป็นคนชอบภาษามากๆ เราฟังเพลงหรือติดตามโพสต์อังกฤษตลอดเวลาในเฟสบุ๊ก มันเลยทำให้เราพอได้เปรียบกว่าคนอื่นมานิดนึงด้วย เรื่องภาษาอังกฤษตอนหลังมาเราไม่ได้เรียนเพิ่มเติมแบบเพื่อนคนอื่น อาศัยพวก environment ที่สร้างมาเป็นภาษาอังกฤษเอา (ทำแบบนี้มาตั้งแต่ม.2) มันเลยอาจพัฒนาได้ช้ากว่าการเรียนจริงจังทุกอาทิตย์หรือทุกวัน ที่เราเห็นคือมีหลายคนมากที่เพิ่งมาอัดๆเรียนอิ้งกันเยอะๆเพราะจะเข้าอินเตอร์กัน ละได้ยินคนที่ไม่เก่งอิ้งเลยโดนสถาบันจับเรียน foundation เสียเงินไป 50,000 ได้ (นี่ยังไม่เข้าคอร์สติว IELTS นะ)

สำหรับใครที่งบไม่เยอะหรืออยากเก็บเงินไปทำอย่างอื่น แล้วเป็นคนที่ surrounding ไปด้วยภาษาอังกฤษ มี่แนะนำใช้วิธีเดียวกันกับมี่ก็ดีนะ เราไม่ต้องเสียเงินมากกว่าเกือบ 30,000 เพื่อไป take course เยอะๆ คือภาษามันต้องใช้เวลาในการพัฒนาและเก็บสะสมมาเรื่อยๆ หรือขยันทำแบบฝึกหัดเยอะๆก็ช่วยได้เหมือนกัน แบบฝึกหัดต้องจับเวลาด้วยมันช่วยให้เรากะเวลาแต่ละ passage ถูก

หลังจากนั้น 6-7 เดือนผ่านไป มี่ลองสอบใหม่หลังจากที่เตรียมตัวมาพอสมควรทั้งคอร์สเทคนิค Express B 50 ชม.และการเตรียมตัวเข้า Study Lab ทำข้อสอบทั้งหมดประมาณ 8-10 ชุด คะแนน Listening มี่อาจจะขึ้นไม่เยอะ ขึ้นมาแค่ 0.5 คือความจริงเรา expect ไว้สูงกว่านี้ คิดว่าจะได้ 7.0-7.5 เหมือนตอนที่เราฝึกทำ ผลออกมาน้อยกว่าที่หวังก็เฟลหน่อย แต่ Reading นี่มาเหนือมากกกกก ได้ 6.5 แบบงงๆเลย ส่วน Writing ก็ตามคาดเพราะเป็นพาร์ทที่เราอ่อนอยู่แล้วอะ แต่ Speaking นี่เราดีใจมาก ตอนนั้นคิดว่าจะได้ 6.0 มั้ยหว่าแต่คำว่า plethora, to recapitulate ช่วยชีวิตค่ะ 55555

ใครที่แวะผ่านมาอ่านบล็อคของมี่พอดี รบกวนช่วยกดติดตามหรือกดไลก์เพจให้ด้วยนะคะ 🙏

ใครที่แวะผ่านมาอ่านบล็อคของมี่พอดี รบกวนช่วยกดติดตามหรือกดไลก์เพจให้ด้วยนะคะ 🙏  ใครสนใจเรื่องการเรียนต่อ MUIC/ต่างประเทศ, เรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศสและเรื่องอื่น ๆ สามารถติดตามไว้ได้ค่า 🥹 ช่วยมี่ด้วยยยยยหรือใครอยากทักมาคุย มาเล่าเรื่อง มาถามอะไรก็ทักมาได้เหมือนกันน้าาาา 🤙 แต่ขอให้อ่านบล็อคให้จบก่อนแล้วค่อยมาถามถึงคำถามที่ไม่มีในบล็อคน้า ถ้าไม่อ่านมาก่อนแล้วถามคำถามมาเลยทั้งที่เราเขียนไว้แล้ว ขออนุญาตไม่ตอบนะคะ ขอโทษในความไม่สะดวกค่ะ (ตอบไม่ค่อยไหวค่ะ) 😔 
📘 FB page: Mie as a media com student - ชีวิตมี่เมื่อเรียนมีเดียคอม 
🎞 Instagram: Miedya_thetraveller 
🕊 Twitter: @askmiedyasha

--- จบแล้วจ้า ขอบคุณที่มาอ่านกันนะ เป็นคนดีมีความสุข สวัสดีจ่ะ ---


24,744 views

Comments


Commenting has been turned off.
bottom of page