top of page

How Mie Scored 7.5 on the IELTS: Honest Tips & Reflections from a Thai Student - รีวิวสอบ IELTS ให้ได้ 7.5 ฉบับมี่ 🇬🇧

  • Writer: mie dyasha wong🍦
    mie dyasha wong🍦
  • 6 hours ago
  • 9 min read

สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านหน้าเก่าและหน้าใหม่ 😁


วันนี้มี่กลับมารีวิวการสอบ IELTS ครั้งที่ 4 ของชีวิตและรีวิวการสอบในช่วงพฤษภาคม ปี 2025 ค่ะ ก่อนอื่นเลย มี่เคยสอบ IELTS มาทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งแรกคือตอนอายุ 17 ปี ช่วงปี 2018 ได้ 5.5 ค่ะ, ครั้งที่สองตอน 17 ปีปลาย ๆ ช่วงกลางปี 2019 ได้ 6.5, ครั้งที่ 3 ตอนอายุ 22 ตอนปี 2023 ได้ 7.0 และครั้งที่ 4 คือตอนอายุ 23 ได้ 7.5 แบบไม่มีพาร์ทไหนต่ำกว่า 7.0 ค่ะ เราสอบกับ IDP Thailand ทั้ง 4 ครั้งเลยนะคะ ส่วนตัวประทับใจการสอบกับ IDP ทุกรอบและทุกครั้ง ผ่านมาหลายปียังบริการดีเหมือนเดิมค่ะ แนะนำให้สอบกับ IDP นะคะ 😊


ใครที่สนใจจะ join กลุ่ม IELTS เพื่อหา speaking buddy หรือมารีวิวข้อสอบ IELTS แบบอัพเดท สามารถเข้ามา join กันได้ที่ https://www.facebook.com/groups/practiseieltsthailand/ นะคะ อย่าลืมกด agree และรับทราบด้วยนะคะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่า 🥰

Mie's IELTS results: Overall 7.5! 🥰
Mie's IELTS results: Overall 7.5! 🥰

มาต่อกันที่นี่ เผื่อใครอยากอ่าน blog ที่เกี่ยวกับการวัดระดับภาษาอังกฤษและการเรียนต่อค่ะ 🌷

รวบรวบ blogs ที่เกี่ยวข้องกับการวัดทักษะภาษาอังกฤษ และการเรียนต่อต่างประเทศจากมี่:
- รีวิวสอบ IELTS ครั้งแรกได้ 5.5 ตอนปี 2018 แบบไม่ได้เตรียมตัว ฉบับคนอยากรู้ทักษะตัวเอง: https://www.miedyasha-wong.com/post/review-taking-ielts-for-the-1st-time
- รีวิวสอบ IELTS แบบคอมครั้งที่ 2 ได้ 6.5 ตอนปี 2019 เพื่อยื่นเข้าวิทยาลัยนานาชาติในไทย + รีวิวการเรียน IELTS กับ Westminster School of English: https://www.miedyasha-wong.com/post/review-westminster-pinklao-2nd-time-with-idp-ielts-computer-delivered
- รีวิวการยื่นเข้ามหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลีย (Macquarie University) และนิวซีแลนด์ (Victoria University of Wellington) ฉบับเด็กจบม.6 ที่ไทย: https://www.miedyasha-wong.com/post/how-mie-applied-to-macquarie-university-and-vuw-nz
- รีวิวการสอบ IELTS ครั้งที่ 3 ได้ 7.0 ตอนปี 2023 เพื่อยื่นศึกษาต่อปริญญาโท + รีวิวการสมัครต่อป.โทในอังกฤษและอเมริกา: https://www.miedyasha-wong.com/post/mie-admissions-journey-to-uk-and-us-universities
- รีวิวการยื่น MA International Education และได้ offer จาก New York University (NYU), Steinhardt School of Culture, Education, and Human Development: https://www.miedyasha-wong.com/post/mie-journey-nyu-steinhardt

อะ จบการรวบรวมบล็อคที่เรานำเสนอะกันแล้ว มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ 😗


อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวที่มี่สอบ IELTS มี่สอบวันที่ 18 may 2025 นะคะ สอบ written exam 9.00 ค่ะ ส่วน speaking ได้สอบรอบ 14.20 แต่มี่มาถึงก่อน 13.50 เลยได้สอบ 13.50 ค่ะ ออกมาตอน 14.08 โดยประมาณ เพราะเปิดโทรศัพท์มาก็ 14.10 แล้วค่ะ ตอนสอบเสร็จคือหลุดพ้น สบายใจมากค่ะ 5555


🇬🇧 พื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวมี่เอง:

ส่วนตัวมี่เองจบมาจากรร.ไทย หลักสูตรไทยธรรมดา ไม่ได้เรียนเป็น English Programme หรือ EP มา ตอนเด็กไม่ชอบภาษาอังกฤษมาก โตมาแบบ monolingual เพราะที่บ้านใช้ภาษาไทยเป็นหลัก มี่เรียนที่นั่น 12 ปี และม.ปลายเลือกเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม ต่อเป็นศิลป์อังกฤษ-ฝรั่งเศส ตอนจบม.6 ภาษาอังกฤษระดับ B2 Upper-Intermediate (IELTS 6.5) ส่วนภาษาฝรั่งเศสระดับ A2 Pre-Intermediate ค่ะ มี่มาต่อป.ตรีที่ MUIC หรือ Mahidol University International College (วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล) สาขา Media and Communication จบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ค่ะ ปัจจุบันต่อป.โทด้านการศึกษา (MA International Education) ที่ University of Exeter ในอังกฤษค่ะ ตัวมี่เองชอบเรียนภาษาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อยากบอกว่าส่วนตัวมองว่าไม่มีทางลัดในการเรียนภาษาค่ะ และ language exposure ในชีวิตประจำวันสำคัญมาก คุณเปลี่ยนตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้โดยการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น ๆ นะคะ เราเป็นคนเน้นเรียนภาษาแบบเก็บไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนอะไร เพราะมี่เชื่อว่า there is no shortcut to success ค่ะ แนะนำให้พยายามพาตัวเองเข้าไป ใช้ภาษาทุกวัน ฝึกไปเรื่อย ๆ ทีละน้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่มั่นคงจะดีกว่าไปตู้มเดียวแล้วลืมหมดค่ะ ก่อนมี่ไปเรียนต่อที่อังกฤษ มี่ได้เรียนภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมตัวต่อป.โท กับ Teacher Larry กับ Berlitz ด้วยค่ะ มี่เรียนเป็นออนไลน์แบบคอร์สสด เรียนคนเดียว (เดี่ยว) นะคะ มี่จบ level 8 unit 28 จากทั้งหมด 10 levels ส่วนตัวว่าที่นี่ดีมาก ๆ ค่ะ ประทับใจ Teacher Larry เป็นคนใจเย็น สอนเข้าใจง่าย และคอย encourage เราให้พูดภาษาอังกฤษตลอดด้วยค่ะ ทุกวันนี้ยังติดต่อกับ Teacher Larry อยู่เลยค่ะ แต่ค่าคอร์สอาจจะแพงนิดนึงเพราะเรียนคนเดียว ราคาที่เราได้ตอนนั้นประมาณ 42,xxx บาทค่ะ จำนวน 60 lessons เรียนทั้งหมดชม.ละ 2 lessons เฉลี่ยเรียนประมาณ 30 ครั้ง ก็เกือบ 6 เดือนได้เลยค่ะ มี่มองว่าถ้าใครที่อยากปูพื้นฐานภาษาอังกฤษแน่น ๆ Berlitz เวิร์คสุดแล้วค่ะ มีทั้งแบบ online และ onsite เลย เลือกได้แล้วแต่ชอบเลยค่า สะดวกแบบไหน เลือกอันนั้นได้เลยค่ะ

⚠️ DISCLAIMER:

พูดไปจะหาว่าเรามองในแง่ร้ายหรือเปล่าคะ แต่อยากพูดจริง ๆ ค่ะ 5555 แต่ส่วนตัวเราไม่สนับสนุนการที่ติวเตอร์บางคนไม่ realisitic เรื่องการเรียนและสอนภาษาอังกฤษแบบนี้นะ แบบชอบขายฝัน ขายคอร์ส ขายของ ไปบอกเด็กที่จะเรียนว่าเรียน 2 เดือนจบแล้วสอบได้ 7.0 เลยอะไรงี้มาก ๆ ที่เราเคยเจอคือ เด็กภาษาระดับ A1-A2 มันคือระดับ Beginner หรือ Pre-Intermediate แต่ติวเตอร์พวกนี้ไปการันตีเขาว่าสอบยังไงก็ได้ 6.5-7.0 หรือมากกว่า นั่นระดับ B2-C1 นะคะ ซึ่งเรางงมาก เพราะ IELTS คือบุญเก่าหรือความรู้เก่า 70-80% ส่วนอีก 20-30% คือดวงกับเทคนิคการสอบค่ะ ถ้าหาติวเตอร์ไทย ให้ระวังนิดนึง การมีความหวังและความฝันเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ควรต้องดูทักษะจริง ๆ แบบไม่หลอกตัวเองเอาด้วย และเรื่องของวินัย ความตั้งใจ ความขยัน ความใส่ใจ ความทุ่มเทของตัวเองด้วยค่ะ ว่ามันไปถึงได้จริง ๆ ในไม่กี่อาทิตย์ หรือ 2 เดือนไหม ถ้ามันถึงจริง ๆ เราคงไม่ต้องเสียเวลาพัฒนาภาษาอังกฤษตัวเองมาเป็นระยะเวลามากกว่า 7 ปีแน่ ๆ ค่ะ เพราะเราเองเริ่มเรียนภาษาจริงจังตอนอายุ 15 เกือบ 16 เหมือนกัน กว่าจะมาได้ขนาดนี้ ทักษะภาษาอังกฤษคือเรื่องของการเก็บความรู้เอาไปใช้จริง ไม่ใช่การเน้นเทคนิคการสอบค่ะ เราคิดว่าความรู้เรื่อง CEFR หรือ Common European Framework of Reference for Languages ก็สำคัญค่ะ เพราะใน IELTS ก็ใช้เกณฑ์นี้เหมือนกันค่ะ

CEFR levels และเกณฑ์การวัดผลภาษาอังกฤษ
CEFR levels และเกณฑ์การวัดผลภาษาอังกฤษ

✨ เกณฑ์ CEFR คร่าว ๆ คือจะประมาณนี้ค่ะ ระดับ pre-A1, A1, A2 คือระดับ basic ส่วน B1, B2 คือระดับกลางหรือ independent และระดับสูงสุดคือ C1, C1 เป็นระดับ proficient ค่ะ ลองเทียบคะแนน CEFR กับตัว IELTS ดูแล้วไปหาค่ะว่าถ้าอยากได้ผลสอบ IELTS ที่เท่านั้นเท่านี้ ต้องเรียนภาษาอังกฤษกี่ชั่วโมงถึงจะไปถึงคะแนนที่ใฝ่ฝันค่ะ 😊


🇬🇧 ตอนนี้เราเรียนอยู่อังกฤษ เจอเด็กจีนเยอะมาก ที่ทำข้อสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษได้ดี ทักษะ TOEFL เกือบ 100 หรือ IELTS 6.5+ แต่สื่อสารจริงแทบไม่รู้เรื่องเลย พูดก็พูดกันไม่ค่อยได้ เข้าไปเรียนในคลาส ฟัง lecture ก็ใช้แต่ AI translator แปลฉ่ำเพราะทักษะภาษาอังกฤษดีไม่พอที่จะเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด แปลแล้วไม่เข้าใจก็เยอะแยะไป ยิ่ง seminar ยิ่งหนักเพราะไม่ยอมอ่านกับ discuss ในคลาส นั่งเงียบกันเป็นป่าช้า แม้มหาลัยที่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจะกำหนด IELTS 6.5 แต่ละพาร์ทไม่ต่ำกว่า 6.0 ก็ตาม เราอยากให้ท่านผู้อ่านเน้นพัฒนาทั้งทักษะจริงและ tactics การทำข้อสอบไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่คิดแต่จะทำข้อสอบให้ได้คะแนนสูง แต่สื่อสารจริงคือไม่ได้เลย อันนั้นเกิดผลเสียมากว่าผลดีแน่นอนอยู่แล้ว เราเลยอยากให้ทุกคนลองตกผลึกสิ่งที่เราพิมพ์มาทั้งหมดดูนะคะ ฟังแล้วอาจจะโหดร้าย แต่เราอยากให้ทุกคนพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษที่แท้จริงมากกว่าการหาทางลัดเพื่อไปสอบให้ได้คะแนนสูง ๆ นะคะ ใครที่จะไปเรียนต่ออยู่แล้ว แต่สอบ IELTS ไม่ถึงจริง ๆ ลง pre-sessional English ไปไม่เสียหายค่ะ มันอาจจะแพง แต่ความรู้อยู่ติดตัวกับเราไปตลอดชีวิต ยิ่งระบบไทยกับอังกฤษเรียนกันคนละแบบอีก การลงคอร์สภาษาอังกฤษแบบ pre-sessional English หรือ general English นั้นมีผลดีกับตัวเรามากกว่าผลเสียอยู่แล้ว ขนาดเราเรียนอินเตอร์มหาลัยในเมืองไทยมา มาเรียนช่วงแรกที่อังกฤษยังมี struggled บ้างเลยค่ะ อยากบอกว่าตัวคะแนน IELTS มี predictive ability จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ อันนี้เป็น misperception ที่คนไทยและเอเชียมีต่อคะแนนสอบภาษาอังกฤษเยอะมาก ๆ มันมี correlation จริงค่ะ ถ้ามันวัดทักษะภาษาคนสอบจริง ๆ ได้ แต่บาง research ก็บอกว่ามีแค่นิดเดียวจริง ๆ อันนี้ก็แล้วแต่คนจะเชื่อค่ะ ส่วนสถาบัน ถ้าอยากเรียนที่สถาบัน แนะนำ Westminster นะคะ มี่เคยเรียนที่นี่ตอนปี 2019 และได้ 6.5 จากคอร์ส Express B ค่ะ แต่ 3 ครั้งที่เหลือไม่ได้เรียนกับ Westminster นะคะ

🍀 รีวิวการสอบ IELTS ฉบับมีมี่ยยยยให้ได้ overall 7.5! 🇬🇧

อันนี้คะแนน IELTS Speaking นึกว่าตายแล้วค่ะ เส้นนิ่งเชียว 5555
อันนี้คะแนน IELTS Speaking นึกว่าตายแล้วค่ะ เส้นนิ่งเชียว 5555

💡การเตรียมตัวสอบ IELTS:

มี่เตรียมตัวสอบอยู่ 2 อาทิตย์ค่ะ ทำ cambridge 19 จบทั้ง 4 tests เลย คะแนนตอนทำ listening กับ reading บน Engnovate แบบ premium เสียประมาณ 6 USD สำหรับ 1 เดือนนะคะ คะแนน 2 พาร์ทตอนนั้นของมี่ค่อนข้างเสถียร ได้ประมาณ 7.5-8.5 ค่ะ เราว่า Engnovate เป็นเว็บที่ดีนะคะ สามารถ save progress ได้และสามารถทำ IELTS Speaking ได้ด้วย เราเคยคุยกับ chatgpt เหมือนกันคิดว่าให้คะแนนค่อนข้างตรงนะคะ ถือว่าใช้ได้เลยค่ะ ดีกว่า Engnovate นิดนึงค่ะ ส่วนตัวว่าให้คะแนนดร็อปจากของจริงไปประมาณ 0.5 ค่ะ แต่ก็ดีกว่าไม่มีคนฝึกพูดด้วย ตอนแรกดูเตรียมมาดีใช่ไหมคะ แต่อย่างที่บอกค่ะ สติหลุดเพราะนอนน้อยล้วน ๆ แอบเสียดายอยู่เลยค่ะ 😭 ไม่โทษใครเลยค่า


📖 ติวเตอร์ 2 คนมาช่วยกันติวมี่:

มี่มีติวเตอร์คอยดูเรื่อง writing กับ speaking 2 คนนะคะ เป็นเรียนเดี่ยวแบบออนไลน์ ผ่าน zoom นะคะ มี่ไม่ชอบออกจากบ้านค่ะ ร้อน 😗 นั่นก็คือพี่กิ๊ฟ (English with Gift) กับพี่มีน (IELTS with Meen) ค่ะ ตอนแรกเรียนกับพี่มีนก่อน ลงไว้ 10 ชม. ราคา 6,000 บาท และใช้เวลาเรียน 5 วันแบบวันเว้นวันใน 2 อาทิตย์ เรียนวันละ 2 ชั่วโมง ตอนแรกรู้สึกว่าพี่มีนดูแบบใจดี ให้คะแนนเราง่ายหรือเปล่าอะไรงี้ พี่มีนจะสบาย ๆ ชิว ๆ ใจเย็น แต่เราเรียนแล้วรู้สึกว่าอยากได้ second opinion เพิ่มเติม เพราะมี self-doubt ค่ะ สงสัยเกี่ยวกับตัวเองเยอะมาก ว่าเราควรได้คะแนนเท่านี้จริง ๆ หรอ ก็เลยเลือกติวกับพี่กิ๊ฟเพิ่มอีก 6 ชม.ค่ะ อันนี้เรียนวันละชม. จำนวน 6 วันใน 2 อาทิตย์นะคะ พี่กิ๊ฟใจดีมาก ลดแลกแจกแถมเยอะมาก ๆ แบบชม.เดียวไม่มีจริงอะ 55555 พี่เค้าให้มาเป็นชั่วโมงครึ่งอะไรงี้ตลอดเลย พี่กิ๊ฟอาจจะเป็นครูที่ดูดุ ๆ นิดนึง (ไม่ใช่ข้อเสียนะคะ เราชอบแนวนี้เพราะเราชอบครูที่เล่นเป็นเล่น เรียนเป็นเรียนค่ะ) แต่พี่เค้าเป็นเฉพาะตอนแรกนะคะ จริง ๆ พี่กิ๊ฟเค้าใจดีนะคะ ฟีลพี่สาวที่ห้าว ๆ นิดนุงงง น่าร้ากกกก (คนเราก็หลากหลายแบบ แต่ถ้าอยากได้ความรู้แน่น ๆ เราว่าพี่เค้าสอนดีมากค่ะ การบ้านเยอะ เราเรียน 6 วันโดน writing ไปแล้ว 5 เซ็ทแบบ task 1 และ 2 ก่อนเข้าคลาสทุกคลาส พร้อม speaking อีก 3 เซ็ทนะคะ 😅 ถ้าซีเรียสจริงจัง อยากเตรียมตัว อยากพัฒนาตัวเองแบบจริงจัง ต้องการคนดัน คนสอนแบบไม่กั๊ก พี่กิ๊ฟคือคำตอบค่ะ) พี่กิ๊ฟเค้าให้ feedback เยอะมากทั้ง writing และ speaking เลย จะฟีล ๆ แบบพี่สอนน้อง ความรู้เน้น ๆ มาเรียนแล้วได้พัฒนาตัวเองจริง แล้วพี่กิ๊ฟจะคอยเน้นย้ำจุดที่ผิดซ้ำ ๆ ให้เยอะมาก พี่เค้าสอนเราให้ organise ความคิดมาก ๆ ค่ะ โดยเฉพาะเรื่อง writing task 1 ส่วน speaking เราว่าก็ดีขึ้นมากค่ะ ความเห็นที่ตรงกันของติวเตอร์ทั้ง 2 คนบอกเราว่าไม่ห่วงเรื่อง fluency กับ pronunciation ตอน speaking แต่ห่วงเราเรื่องตอบไม่ตรงคำถามค่ะ ตลกกกกก เราแบบ 😅 จะดีใจหรือเสียใจดีนะ ฮื่อ


🥺 วันก่อนสอบ:

แนะนำว่าอย่ากินอะไรที่เสี่ยงท้องเสียนะคะ เดี๋ยวจู๊ด ๆ ในห้องสอบล่ะแย่เลย เพราะขอออกมาเข้าห้องน้ำได้นะ แต่เค้าไม่ชดเชยเวลาสอบให้ค่ะ เท่ากับว่าเสียทิ้งเปล่า ๆ เลยนะ งดกินคาเฟอีน จะชาเขียว มัทฉะ กาแฟ งดไปเลย 10 ชั่วโมงก่อน 22.00 ค่ะ ละก็ที่สำคัญต้องนอนเยอะ ๆ ให้เพียงพอค่ะ มี่ได้นอนไป 2 ชม.เพราะนอนไม่หลับค่ะ แบบนอนหลับตอนตี 4 ตื่น 6 โมง ตื่นมาแล้วเหนื่อยมาก จะล่าแบ้ 5555 แต่ก็ต้องแบกสังขารไปสอบค่ะ เพราะค่าสอบแพงมาก อยากร้องไห้ 🥲 แนะนำว่าใครจะสอบ นอนตั้งแต่ 22.00 นะคะ แล้วอย่าตื่นเต้นเกิน การนอนพักผ่อนให้เพียงพอมีผลมากค่ะ เพราะเราไปสอบแล้ว สติหลุดมาแล้ว เลยมีประสบการณ์นี่แหละค่า แหะะะะ 😂


IELTS IDP Thailand
หน้าตา reception ของ IELTS IDP ที่ตึก liberty square ค่ะ

🙌 วันสอบจริง:

มี่มาถึงประมาณ 7.50 ค่ะ แต่ว่าหิวข้าวมาก ๆ เลยไปหาข้าวกินที่เซเว่นตรงตึก CP ค่ะ ก็เลยซัดมัทฉะนมพิสตาชิโอ กับ ก๋วยเตี๋ยวพริกขี้หนูกุ้งเข้าไป ก็อร่อยดีค่ะ กินเสร็จไป IELTS IDP ชั้น 9 ที่ตึก liberty square ค่ะ เข้าไปแล้วกดลิฟท์ไปชั้น 9 ออกจากลิฟต์มาเลี้ยวขวา เดินตรงไปจะเห็น IDP สีแดง ๆ อยู่ค่ะ มาถึงเช้านะ แต่คนมารอก่อนหน้าเราเยอะมากค่ะ ให้ไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระให้เสร็จเรียบร้อยก่อนนะคะ ห้องน้ำอยู่ข้าง ๆ ศูนย์สอบค่ะ สะดวกดี มีหลายห้อง สะอาดค่ะ แล้วจะมีให้ไปฝากของใน locker ด้วย โดยจะแยกห้อง IELTS Regular กับ IELTS UKVI ค่ะ เราไปผิดมาด้วยแหละ ห้องแรกด้านในสุดคือของ UKVI ส่วนห้อง 2 ที่อยู่ด้านนอกจะเป็นของ Regular ค่ะ ฝากของเสร็จก็จะได้ tag มาเป็นเลข locker ของเราค่ะ สามารถถืออันนั้นเข้าห้องสอบได้ หลังจากนั้นก็นั่งรอทาง invigilator เรียกค่ะ ว่าให้ไปสแกนนิ้วมือ 4 ครั้ง และถ่ายรูปติด e-TRF เช็คข้อมูลส่วนตัวให้ถูกต้องทั้งหมดด้วยนะคะ เช่น เลขพาสปอร์ต ชื่อ นามสกุล วันเกิด ข้อมูลอันนี้สำคัญมากเพราะจะอยู่ใน e-TRF ของเราค่ะ จากนั้นก็ไปรอเข้าห้องสอบ written exam กันค่ะ จะมีการเช็คโดยการให้เราถกแขนเสื้อขึ้น หรือขากางเกงขึ้น และให้สะบัดเสื้อกันหนาวค่ะ ใส่แมสก์ได้นะคะ เราไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวไปนะคะ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่พาเข้าไปนั่งที่โต๊ะสอบเราพร้อมกระดาษสีฟ้าที่มีข้อมูลส่วนตัวของเรา และ login details ค่ะ เช่น username และ password พาสปอร์ตหรือบัตรประชาชนจะถูกวางอยู่ที่เหนือศีรษะจะมีกล่องใส ๆ ใส่พาสปอร์ตหรือบัตรประชาชนอยู่ค่ะ มี่เอาขวดน้ำแกะฉลากเข้าไปด้วยนะคะ ซื้อไปเองค่ะอันนี้ ส่วนพอตอนสอบ speaking ก็ต้องกลับมาห้องนี้ และต้องสแกนนิ้วอีก 1 ครั้งค่ะ ฝากของเหมือนเดิม ปิดโทรศัพท์ด้วยค่ะ จากนั้นก็ต้องไปนั่งรอที่เก้าอี้ที่เค้าบอก จะมีห้อง 4-7 ค่ะ เป็นการสอบ speaking มี่ได้เก้าอี้ตัวของห้องที่ 7 ค่ะ


📝 ก่อนสอบในห้องสอบ:

พอเราเข้าไปนั่งที่โต๊ะสอบที่มีคอมแล้ว จะมีป้ายบอกว่า DO NOT TOUCH ตรงคีย์บอร์ดค่ะ ก็คืออย่าเพิ่งใส่ข้อมูลใด ๆ จนกว่าเจ้าหน้าที่จะเก็บป้ายอันนั้นออกนะคะ กระดาษสีฟ้าจะถูกวางไว้ตรงกลางโต๊ะค่ะ ตัว system ในคอมจะให้ใส่ username, passwords อะไรงี้ค่ะ แล้วจะมีการอธิบายแต่ละพาร์ท ว่าต้องทำข้อสอบยังไงบ้าง ปรับขยาย font size ยังไง เปลี่ยนสียังไง อะไรพวกนี้ค่ะ เค้าจะมี brief session ให้อยู่แล้วนะคะ ทุกพาร์ทก่อนทำ ต้องกด I confirm that I ... จำไม่ได้ว่าเข้าใจหรือดูวิดีโออันนี้แล้ว ก่อนทำข้อสอบ listening, reading และ writing ต้องดูหมดค่ะ เท่ากับต้องคอยถอดและใส่หูฟังประมาณ 3 ครั้งนะคะ จากนั้นจะมีการเปิดลำโพงให้ฟังว่าต้องทำอะไรบ้าง มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ถ้าจะเข้าห้องน้ำให้ทำอะไร อันนี้ฟังเอานะคะ เราก็จำไม่ได้ค่ะ 🥹 แหะ ๆ เราได้เริ่มสอบตอนประมาณ 9.08 นะคะ


🎧 listening:

อันนี้เป็นเรื่องที่มี่ได้ตอนสอบนะคะ

- campsites มี 3 แคมป์ แบบอยากพาเด็ก ๆ ไปตั้งแคมป์ เป็น one word and/or a number ค่ะ อันนี้ง่ายแต่สติหลุดไป 2 ข้อยั่ว ๆ 555555

- national railway museum อันนี้เป็น 2 choices 2 ข้อ และเป็น map อีก 5-6 ข้อมั้งคะ

- education trip in amsterdam อันนี้ยากค่ะ มันชอบอ่าน choices หมดทุกข้อ แต่เราหลุดไปเยอะมาก มันไหลไปเรื่อย จับจุดยากค่ะ

- inventing a global language อันนี้ one word only จำนวน 10 ข้อ สนุกดีค่ะ แต่ก็อย่างที่บอก หลุดไป 2 ข้อเหมือนเดิม เศร้าค่ะ เพราะถนัดเรื่องนี้แต่พลาดอีกแล้ว

🍀 โดยรวมเราว่า listening ง่ายกว่า cambridge 19 นะ มี pause ให้หยุดตอบและพิมพ์คำตอบเป็นบางช่วงค่ะ แต่สติเราหลุดไป 2 รอบในห้องสอบตอน part 1 กับ 4 ค่ะ มันนึกถึงเรื่องอื่นตอนฟัง เช่น ก่อนหน้านั้นเค้าพูดไรนะ เราเลยหลุดบ่อยค่ะ แง แอบเศร้า แต่ก็ยังโอเคนะคะ เวลาฟัง แนะนำว่าอย่าไหล แล้วให้มีสติมาก ๆ ระวังโดน choices หลอก เพราะ listening ชอบหลอกคนฟังให้เลือกผิด แบบสับขาหลอก (ซับซ้อนมาก ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยเจออะไรที่ต้องเปลี่ยนกลับไปกลับมาเยอะขนาดนี้มาก่อน)


📖 reading:

- passage แรกเป็นเรื่องพริก ของนักวิจัยชื่อ linda กับ การพบพริกโดย columbus มั้ง เกี่ยวกับสารในตัวพริก ที่ขึ้นด้วย capsaicin ถ้าจำไม่ผิดนะคะ อันนี้มี 13 ข้อ เป็น True/False/Not Given ประมาณ 7 ข้อและ completion อีก 5 ข้อค่ะ

- passage ที่ 2 เกี่ยวกับ digital literacy กับการแยกภาษาของพวกมหาลัย dartmouth และ researchers อื่น ๆ เยอะมากเกี่ยวกับ meta analysis อะไรไม่รู้จำไม่ได้ แต่อันนี้ยากมาก มั่วฉ่ำ 5555 อันนี้มี 14 ข้อ มี summary 3 ข้อตอนท้าย และเป็น heading แบบลากไปตอบ 6 ข้อ + ชื่อนักวิจัยที่พูดเรื่องนั้นนี้เกี่ยวกับหัวข้ออีก 5 ข้อค่ะ อันนี้คือมึนตึ๊บ เสียเวลากับพาร์ทนี้เยอะมาก แต่ไม่ได้อะไรเลยจริง ๆ

- passage สุดท้าย เป็นเรื่อง linguistics เกี่ยวกับภาษาที่หายไป เช่น welsh, cornish ละก็ภาษา navajo อันนี้พอไหวอยู่นะ เป็นเรื่องที่ถนัดค่ะ เป็น choices แบบให้เลือกตอบว่ามีอะไรบ้างที่ถูกต้องจำนวน 6 ข้อ ต่อด้วย summary completion แบบเปลี่ยน wording 3 ข้อ และต่อด้วย Yes/No/Not Given 4 ข้อท้ายสุด

🍀 โดยรวม เราว่าพาร์ทนี้ตอนแรกนึกว่าจะได้ 6.5 อะไรงี้ด้วย เพราะไปเสียเวลาพาร์ท 2 เยอะมาก ผิดคาดจากตอนที่ซ้อมมือมากค่ะ เนื่องจากอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ เราเป็นคนอ่านช้า อ่านแบบ 20-20-20 หมดเลย ในขณะที่เทคนิคที่คนอื่นแนะนำคือ 15-20-25 ค่ะ จนเทไปเยอะมากกก แง ๆ แต่ได้ 7.0 ก็ดีใจค่ะ เคยได้ยินมาว่าพาร์ท 3 ยากสุด แต่สำหรับเรา เราว่าพาร์ท 2 ยากสุดเพราะข้อมูลเยอะมาก และมีแต่น้ำ เนื้อ ๆ คือไม่ค่อยมี มันเลยอ่านแล้วงงอะค่ะ แต่ก็ เราอาจจะไม่เก่งพอที่จะเข้าใจเนื้อหาของพาร์ท 2 ก็ได้ค่ะ 55555


✍️ writing:

- task 1 เจอ graph 2 อัน เรื่อง those had motorbikes driving licences 2 รูป ปี 1992-2012 แบบ all ages กับ 1992 และ 2012 แบบอายุ 17-20 แยกเป็น males กับ females ค่ะ อันนี้ค่อนข้างยากสำหรับเราค่ะ แต่ใช้วิธีเขียนแยกคนละกราฟเอา ง่ายกว่าค่ะ เราเสียเวลากับพาร์ทนี้ไป 22 นาทีค่ะ พี่กิ๊ฟบอกว่าถ้าทำไม่ทันจริง ๆ ให้เวลาไม่เกิน 25 นาทีต่อพาร์ทนี้ค่ะ


- task 2 ได้เรื่อง reading and telling stories to their children, while others say that it's not important because we have media like books, tv ค่ะ


🍀 เราเขียนพาร์ทแรก 206 คำ พาร์ท 2 จำนวน 370 คำ เพราะเป็นคนพิมพ์ไว + คำถามค่อนข้างกึ่งสาย education เลยพอมีไอเดียบ้าง พื้นฐานเราเป็นคนชอบการเขียนอยู่แล้ว และเขียน academic essay เป็นประจำค่ะ เราก็แถ ๆ ของเราไปเรื่อย เรื่อง quality time, literacy กับพวกเกี่ยวกับ media ว่ามันก็มีผลดี ช่วยให้เด็ก mimic how each word sounds และเรื่อง creativity ด้วย แต่ stand ของเราคือเราคิดว่า reading and telling stories to their children are important because it boosts real-world communication skills ค่ะ แนะนำให้เช็คดี ๆ ว่าการพิมพ์ถูกหมดไหม เพราะมีบางช่วงเรานิ้วเบียด เลยเขียนติดกัน เช่น children may เขียนผิดเป็น childrenmay ดีที่ตาไวเลยแก้ทันค่ะ


😌 after taking the IELTS written exam:

เราออกมาจากห้องสอบหลังสอบ written exam ตอน 11.52 ค่ะ ออกมาจากห้องสอบก็คือเดินไป donki, เดินไป silom complex เข้า park silom และเดินกลับมา lawson ตรงตึก united ค่ะ แบบไม่รู้จะทำอะไร กินข้าวก็กินไม่ลง กินได้ 5 คำ โยนทิ้งค่ะ กินไม่ลง เลยไป kamu kamu ไปซื้อน้ำหวานมาเพิ่มพลังค่ะ เพราะไม่ไหวจริง มือสั่นละ ถ้าไม่กินอะไรรองท้องคือ ตายแน่ 555 เพราะเรา anxious นิดนึงค่ะ เลยพยายามเดิน พยายามทำนั่นทำนี่ให้หายตื่นเต้น จากนั้นก็พยายาม express my thoughts ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ เราว่ามันดีขึ้นมากค่ะ จากนั้นเลยกลับไปศูนย์สอบ เพราะสอบ speaking คือที่เดิม ชั้นเดิมค่ะ


🗣 speaking:

มี่สอบรอบ 14.20 แต่ IDP เค้าอนุโลมให้สอบก่อน เพราะมาถึงตั้งแต่ 13.06 ค่ะ มี่ก็เลยได้สอบ 13.50 ออกมา 14.10 โดยประมาณค่ะ ก่อนสอบต้องไปประทับลายนิ้วมือ 1 ครั้ง แนะนำให้ถอดแมสก์เวลาสอบนะคะ เพราะเรากะจะถอดตอนหลังแต่พี่เค้าดักให้เราถอดแมสก์ก่อนเลย จากห้อง 4 เลยได้ห้อง 7 แทนค่ะ มี่ได้ examiner เป็นผู้หญิงชื่อ Andrea ใจดีมากกกกกก เค้าดูตื่นเต้นและคอยถาม why เยอะมาก ๆ ค่ะ เราไม่ได้ใช้ศัพท์ยากหรือ idioms เยอะค่ะ เน้นเป็นตัวของตัวเองมากกว่า ไม่ได้ใช้ template มาท่องจำค่ะ เราใช้จินตนาการเอาว่าเราคุยกับเพื่อนหรืออาจารย์ที่เราสนิทด้วยค่ะ


🍀 part 1:

- ถาม do you work or study?

🥰 I am currently doing a Master of Arts in International Education at the University of Exeter

- why did you choose this city to study? how is it like?

🥰 ก็อธิบายไปว่า It's a lovely city to study... Everything is within walking distance from the city centre to my dormitory. It's also a safe city, based on my opinion. อะไรประมาณนี้ค่ะ

- ถามเกี่ยวกับเมืองที่เรียนต่อเยอะมาก ๆ ว่าควร develop หรือพัฒนาอะไรเพิ่มไหม

🥰 เราก็ตอบไปประมาณว่า I don't think this city needs any more developments since it's already in a good condition and it's perfect in its own way.

- ถามเรื่อง happiness ค่ะ อะไรที่ทำให้เรา happy บ้าง เราก็ตอบว่า photography ค่ะ และเขาก็ถามว่าในอนาคตอะไรจะทำให้เรา happy เราก็ยัง insist ว่าเป็น photography เหมือนเดิม

🥰 I believe that it would be "photography" because I'm an amateur photographer and I would like to try street photography as a way to connect and socialise with new people. It's the only source of happiness I have right now. ละก็ขำกลบเกลื่อนค่ะ 5555 พอเค้าถามเรื่อง happiness ในอนาคต เราก็ตอบว่า I still think that it's going to be photography since I have nine cameras and each one has its own uniqueness when I want to experiment with new styles of photography. I feel happy every time I have to take photos. It's my way of living.


🍀 part 2:

มี่ได้เรื่อง daily routine that you have:

เรา explain เรื่อง doing master's ไป ละ link เข้าเรื่อง education ไปเลย เช่น ทำ dissertation และ independent study เพราะเราเรียนสายนี้ค่ะ

🥰 คำตอบคร่าว ๆ จะประมาณว่า Okay, I am currently doing a master's in education. I am working on my dissertation and have a schedule for independent study. I tend to sleep in until noon and then work on self-studying to complete my assignment. My schedule changed around seven months ago because I started my master's. I am happy with my daily routine right now because I love studying and gaining more knowledge in the field of education. Since I would love to work in academia and research fields, my research can contribute to society. อะไรประมาณนี้ค่ะ แล้วก็เล่าเรื่อง education for diversity และ debating the big questions in education ไปว่ามันทำให้เราได้รู้เรื่อง predictive ability of English จำคร่าว ๆ ได้แค่นี้แล้วก็จบเรื่องที่ My family has supported me, and the tuition fee costs a fortune, I don't want it to end with a snap of a finger because I have not worked hard enough. เราพูดแบบไม่หยุดเลย ไปเรื่อย ๆ จนเค้าบอกว่าหยุดค่ะ


แล้วก็เจอ follow up questions เรื่อง schedules อีกประมาณ 4 คำถาม แต่จำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่คร่าว ๆ จะเป็นเรื่อง creativity vs fixed schedules and fixed daily routine นะคะ เราก็ตอบแบบโยงเข้า creativity as a media student ว่ามันสำคัญยังไงบ้าง และการที่มี fixed schedules ส่งผลเสียยังไงกับคนที่ทำงานสาย creative ค่ะ


🍀 part 3:

- ถามเรื่อง jewellery ว่าใส่ไหม ทำไมใส่ มีความสำคัญยังไง วันนี้ใส่อะไรมาบ้าง แล้วก็เหมือนเขา challenge เราต่อค่ะ เค้าแทบไม่ดูคำถามในโจทย์หรือ booklet เลย เหมือนอยากดู proficiency เราค่ะว่าเราจะยังไงต่อ จะตอบยังไง ไปต่อไหวไหม

- เราก็ตอบไปประมาณว่ามันเกี่ยวกับความเชื่อ พวก Buddhism, Hinduism ค่ะ เราเป็นคน superstitious 5555 เลยใส่มาเพราะคิดว่าจะช่วยเรื่องโชคกับ IELTS 🥲 แล้วเค้าก็ขำค่ะ 5555

- ถาม why เยอะมาก ๆ สนุกดีค่ะ ไม่คิดว่าจะเป็นหัวข้อที่ได้ด้วยแหะ ๆ 🥲 คำถามไหลไปไกลมาก เก็งอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่ตรงค่ะ


😊 tips and tricks เวลาสอบ speaking:

มี่แนะนำให้เวลาสอบ speaking ให้พูดให้ช้าลง pronounce หรือออกเสียงให้ชัดขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่อง accent ค่ะ เพราะเค้าดู pronunciation เป็นหลัก ส่วนตัวก็ไม่ได้ออกเสียงเป็น british accent หรือ american accent ค่ะ เราว่าเรามี international accent มากกว่า หรือสำเนียง ESL ค่ะ ให้พูดช้าลงอีกนิดจนได้ยินเสียงตัวเองเวลาพูด อย่าวิตกกังวลมากเกินไป และค่อย ๆ พูดไปเรื่อย เราคิดว่าเราได้คะแนนจาก pronunciation กับ fluency ค่อนข้างเยอะค่ะ ส่วน lexical resources กับ grammar อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่ได้ใช้ complex sentences อะไรเท่าไหร่ค่ะ เน้นสื่อสารไปเรื่อย ๆ แบบ go with the flow และเป็นตัวของตัวเอง สายธรรมชาติ และ be honest 5555 เราว่ามันไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากค่ะ แต่เราว่าเราก้าวข้ามความกลัวและ anxiety ตอน speaking ได้แล้ว ขอบคุณ examiner Andrea มาก ๆ นะคะ และขอบคุณตัวเองที่พยายามก้าวข้ามความกลัวมาด้วยค่า


ท้ายสุดนี้ ประจับใจ staff และ examiner ของ IDP มาก ๆ ค่ะ ใจดี คอยช่วยเหลือ ไม่วีน ไม่เหวี่ยงเลย น่ารักกันทุกคนค่ะ ใครจะสอบ IELTS เราแนะนำ IDP นะคะ ✨️

(ps ออกค่าสอบเอง no sponsor นะจ๊ะ แต่ต้องมาอวยยศเพราะดีจริง ไม่มีผิดหวังเลย)


🙏 รีวิวการได้รับผลสอบ IELTS ใน 1 วันกว่า ๆ

notification from IDP that my results are posted ✨
notification from IDP that my results are posted ✨

มี่รอผลสอบประมาณ 1 วันกว่า ๆ นะคะ หลังสอบเสร็จสลบไปเลยค่ะ เพราะเหนื่อยจากการนอนน้อยมา ตอนแรกนึกว่าจะรอ 3 วันเพราะคนสอบเยอะมาก แบบ 30 คนได้ค่ะ ตอนที่มี่ไปสอบเห็นลิสต์คนสอบ 49 คน แต่น่าจะแบ่งรอบเช้ากับบ่ายค่ะ มี่สอบเสร็จ 14.10 ของวันที่ 18 may 2025 และผลสอบ IELTS ออกมาตอน 18.43 ของวันที่ 19 may 2025 แต่เราเช็คผลตอน 18.47 ค่ะ แบบไม่ได้เช็คเมลว่า idp ปล่อยผลสอบออกมาแล้วนะ เปิดผลสอบมาแทบช็อคค่ะ 5555 ดีใจมากกก เหนือความคาดหมายมาก ๆ ค่ะ 🙏

ผลสอบ IELTS ของมี่แบบไม่มีพาร์ทไหนต่ำกว่า 7.0 ค่ะ
ผลสอบ IELTS ของมี่แบบไม่มีพาร์ทไหนต่ำกว่า 7.0 ค่ะ

ตอนนี้รู้สึกดีมาก โดยเฉพาะ part speaking เพราะเหมือนได้ความมั่นใจกลับมาค่ะ หลังจากครั้งที่แล้วสอบได้ 6.5 มา รู้สึกว่ามันเกี่ยวกับ anxiety ล้วน ๆ เลยค่ะ และที่สำคัญ writing 7.5 คือเหนือความคาดหมายมาก ตอนแรกนึกว่าจะได้ 7.0 อีกเหมือนเดิมค่ะ 🙏

ใครหาเพจ IDP ไม่เจอ ติดต่อเพจ IELTS by IDP ใน Facebook ได้เลยค่ะ ถ้าเบสอยู่ประเทศไทย ตัวระบบจะขึ้นเป็นประเทศไทยโดยอัตโนมัติค่ะ แต่ถ้าอยู่ต่างประเทศ จะเด้งเป็นของต่างประเทศเหมือนกันค่า

ใครติดตรงไหนหรือมีคำถามเพิ่มเติม อยากสอบถาม สามารถสอบถามได้นะคะ ยินดีตอบมากค่า 🥰 หรือถ้าใครอยากแนะนำให้เขียนอะไรเพิ่มในรีวิวนี้ บอกกันได้นะคะ ขอให้โชคดีกันทุกคนนะคะ ✨🙏


ส่วนใครที่อยากคุยกับมี่โดยตรง ติดต่อมี่ผ่านทาง Facebook page: MemoMiez - มี่ตะลุยโลก ได้เลยนะคะ หรือ IG: miedya_thetraveller ได้เลยเช่นกัน แต่ใน Facebook จะ active กว่าและตอบเร็วกว่าค่ะ ส่วนใครที่อยากเข้ากลุ่ม เข้าได้ที่ลิงก์ด้านบนหรือทักมาขอให้มี่ชวนเข้ากลุ่มติว IELTS ก็ได้เช่นกันนะคะ 😊 มาช่วยกันสร้าง community ที่ supportive และช่วยเหลือกันแบบไม่กั๊กข้อมูลกันค่ะ ✨

first posted: 20 may, 17.14 (5.14 PM) - bkk time

updated: 20 may, 20.04 (8.04 PM) - bkk time

2018 - present

proudly created by mie dyasha wong

all rights reserved to mie dyasha wong © 2025

bottom of page